ภัทราวดี มีชูธน

 

อยากทราบเหตุผลที่คุณครูเล็กเปิดภัทราวดีเธียเตอร์ โรงเรียนสอนตรงนี้ขึ้นมา

จริงๆ ที่นี่ก็ไม่ได้สอนแบบโรงเรียนที่อื่นนะคะ คือไม่ได้สอนสม่ำเสมอ จะสอนเมื่อมีเวลา ที่สอนสม่ำเสมอก็จะมีรำไทยกับ โมเดิร์นดานซ์ แต่ว่าก็มีอยู่อย่างละคลาสเท่านั้นเอง ส่วนแอ็คติ้งก็จะสอน 2-3 เดือนครั้งหนึ่ง คือที่นี่ไม่ได้สอนเพราะมันเป็นโรงเรียน สอนเพราะว่า มันมีเด็กมืออาชีพต้องเทรน ก็ให้เด็กอื่นๆ ที่เขาอยากเรียนด้านนี้ส่งไปด้วย จริงๆ แล้วต่อไปจะร่วมมือกับกันตนาแล้วก็จะสอนมากกว่านี้ เพราะว่าจะฝึกเด็กนักแสดงให้กับกันตนา เขาก็คงจะส่งให้ฝึก คือร้อยคนอาจจะได้แค่ 2 คน แล้วแต่ว่าเขาจะคัดเอาไปทำงาน ที่เหลือก็อาจจะเป็นตัวประกอบหรือว่านักแสดงที่บทน้อยๆ หรือว่าเราอาจจะเห็นลู่ทาง คนนี้อาจจะไปทำคอสตูม ทำพร็อพทำอะไรแบบนี้ ก็จะต้องซุ่มฝึก ก็คิดว่า 80% ก็น่าจะได้ทำอะไร

 

ในมุมมองของคุณครูเล็ก คนที่อยากจะเป็นนักแสดง จะต้องทำยังไงบ้าง ถึงจะทำอาชีพนี้ได้

นักแสดงแบ่งออกเป็นหลายเกรด เราจะไปให้ถึง Fine Art ให้สูงสุดของการเป็นนักคิด และ นักแสดง การเป็นนักแสดงเฉยๆ มันก็จะได้อยู่แค่ส่วนหนึ่งของชีวิต คนที่จะเป็นนักแสดงเฉยๆ พอมาถึงช่วงหนึ่งของชีวิตมันต้องฉลาดและคิดเป็น พอคิดเป็นก็จะรู้ มีพัฒนาการ เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้กำกับการแสดง หรือเป็นผู้เขียนบท หรือเป็นผู้สร้างงาน บางคนก็เป็นนักแสดงเฉยๆ ไปตลอดชีวิต ก็เป็นแม่ เป็นป้า เป็นยาย ก็ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องมีพัฒนาการขึ้นไปแต่ให้รู้ว่า การเป็นนักแสดงมันมีพัฒนาการ เหมือนเราเป็นเสมียน แล้วเราขึ้นเป็นผู้จัดการได้ เราเป็นเจ้าของบริษัทได้

 

แล้วเป็นเป้าหมายของนักแสดงหรือเปล่าคะ ที่ต้องดำเนินไปสู่พัฒนาการนั้นๆ

จริงๆ แล้วมันควรจะเป็น เพราะว่าการเป็นนักแสดงเฉยๆ มันเป็นนักแสดงได้ทั้งชีวิต แต่เราสามารถเป็นนักแสดง แล้วในเวลาเดียวกัน เราก็สามารถเป็นผู้กำกับได้ เราเป็นคนคิดงานก็ได้ เราเป็นครูก็ได้ อันนี้เราจะมีประโยชน์ มีงาน และเราก็จะหลากหลายขึ้น แล้วเราก็จะได้ทำงานที่มีสติปัญญา ความคิด แล้วสามารถรวบรวมความรู้ ไว้ถ่ายทอดบุคลากรรุ่นต่อไป การที่จะเป็นนักแสดงประเภทนั้นมันต้องมีการเรียนรู้ การเรียนรู้ตลอดชีวิต มันไม่ใช่แค่มาเรียน 3 ขั้นแล้วก็จบ หรือว่าเป็นนักแสดงที่เล่นพอเป็น ก็คิดว่าสอนได้ ไม่ใช่ ! คนที่จะสอนได้ต้องเรียนรู้ ก ข ของพื้นฐานการแสดง หมายความว่าเมื่อเรียนรู้แล้วมาปฏิบัติจนเข้าใจ ก็ไปเรียนเพิ่มเติม แล้วก็ปฏิบัติจนเข้าใจ ทำได้ จนเชี่ยวชาญ ตอนนี้ก็สามารถเป็นนักแสดงได้ กำกับการแสดงได้ เป็นครูได้ แทนที่จะมีอาชีพเดียว ก็จะมี 2-3 อาชีพขึ้นมา แล้วก็จะเป็นบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน ในบั้นปลายของชีวิต การที่เป็นนักแสดงเฉยๆ ก็เหมือนกับเราเป็นเสมียนไปตลอดชีวิต ก็แล้วแต่ใครจะคิด

 

ไม่เว้นแม้กระทั่งได้ตุ๊กตาทอง ศิลปินแห่งชาติ

จริงๆ แล้วคนที่จะเป็นศิลปินแห่งชาติได้ เขาก็ยังเป็นนักแสดง แต่เขาก็ได้พัฒนาการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ จนเขาสามารถมีความเป็นครู เขาสอนได้ เขาถ่ายทอดได้ เขามีความเป็นครู เขาได้รวบรวมเทคนิคเฉพาะกิจ ที่เขาเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จนเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญรอบรู้ ในเทคนิค ทำได้ สร้างตำราได้ อันนั้นคือศิลปินแห่งชาติ ทำได้อย่างเดียวสอนไม่ได้ ไม่น่าจะเป็น เพราะไม่มีประโยชน์ คนโบราณเขาอาจจะไม่ได้เรียนกับฝรั่งมังค่า แต่เขาก็มีครูทุกคน เขาก็จะเรียนกับครูบาอาจารย์จากนั้น บ้านนั่นแหละ เขาจะมีครู แล้วคนเหล่านี้จะบอกได้เลย ว่าเริ่มต้องยังนั้น 1 2 3 4 ต้องอย่างนี้เพราะมีครู คนที่มีครูเท่านั้น ที่จะพัฒนางานของตัวเองให้ไปถึงสูงสุดได้ เขามีรากฐานที่มาที่ไปของความรู้ แล้วก็ทำงานต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่หยิบหย่ง ไม่ใช่ทำบ้างหยุดบ้าง พวกนี้ถึงจะเป็นศิลปินที่แท้จริง

 

คุณครูเล็กมองว่าประโยชน์หรือคุณูประการของนักแสดง ต่อแผ่นดินคืออะไรคะ

งานศิลปะนี่เมื่อตอนเด็กๆ มันก็จะสนุกสนานที่ได้เป็นดารา เป็นผู้มีชื่อเสียงได้ทำงานศิลปะที่เรารัก เมื่อโตขึ้นไปนิดหนึ่ง ฝีมือจะต้องถูกกล่อมเกลาจิตใจตามไป นี่คือการพัฒนาการที่ถูกพัฒนาการของการเป็นศิลปินที่ดี จิตใจที่ถูกกล่อมเกลาตามไปเพราะงานจะละเอียดละออ และงานจะถูกขัดเกลาให้มีคุณธรรมในการนำเสนอ ประเด็นที่นำเสนอถึงจะซุกซนอย่างไรก็ตามแต่ ก็จะมีคุณธรรมในการนำเสนอ เมื่อจิตใจของศิลปินได้ถูกกล่อมเกลาแล้ว ศิลปะมีอิทธิพลมากสำหรับมนุษย์ เพราะดูแล้วเกิดศรัทธาและความเชื่อ เช่นเดียวกับศาสนา เกิดศรัทธาและความเชื่อ เมื่อผู้ชมเกิดศรัทธาและความเชื่อแล้ว หากคนนำเสนอไม่มีรสนิยม ไม่มีคุณธรรมในการนำเสนอ ประเด็นที่นำเสนอก็ไร้สาระและไร้ค่า ผู้ชมที่ได้รับก็จะเป็นผู้ที่ไร้สาระและไร้ค่า เพราะฉะนั้นศิลปะก็คือการสอน การสอนโดยผ่านความเพลิดเพลิน สร้างศรัทธราในความเชื่อ ด้วยความเพลิดเพลิน ที่แฝงการสอน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่ศิลปินต้องถูกกล่อมเกลา ต้องมีความรอบรู้ ต้องมีวิชา ทั้งในด้านของศาสตร์ที่เราทำอยู่ วิชาในเรื่องของการกล่อมเกลาในเรื่องของธรรมะ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เป็นอันตรายกับประชาชนเป็นอย่างมาก จะเห็นว่าในยุคของบ้านเมืองเสื่อม ศิลปะก็เสื่อม จึงทำให้บ้านเมืองเสื่อม ใครมาก่อนมาหลังไม่ทราบแต่มันมาคู่กัน เพราะฉะนั้นบ้านเมืองจะเสื่อมไม่ได้หากศิลปะนั้นไม่เสื่อม

 

หากให้วิเคราะห์ในขณะนี้

มันก็ลำบากนะ ตอนนี้ประเทศมันใหญ่ มันก็จะมีตลาดของความไม่เสื่อมและก็จะมีตลาดใหญ่ของความเสื่อม

 

คือกำลังมองว่ามันแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน

พาณิชย์ศิลป์ไม่จำเป็นต้องเสื่อม พาณิชย์ศิลป์ทำเพื่อเกิดพาณิชย์ เพื่อค้าขายไม่จำเป็นต้องเสื่อมยังคงไว้สำหรับรสนิยมอันดี ฝีมือพอได้ แต่รู้สึกว่าพาณิชย์ศิลป์ตอนนี้ค่อนข้างเสื่อม เพราะว่าฝีมือได้รสนิยมอันดีน้อย เนื่องจากผู้สร้างเกิดอวิชา คือไม่รู้ตามความเป็นจริง เมื่อไม่รู้ก็โทษผู้ชมโง่ โดยไม่ย้อนมองตัวเองต่างหากที่โง่ ไร้สาระ ไม่มีรายละเอียด ไม่มีฝีมือ ศิลปินในพาณิชย์ศิลป์ ก็เริ่มมีหลายคนที่มีฝีมือ เริ่มมีนักแสดงนักร้องที่มีฝีมือ แต่ผู้สร้างยังไร้สติปัญญา ก็เหมือนกับว่ามีอาวุธที่คมกริบ แต่ว่าใช้ไม่เป็น ก็ถือทะเล่อทะล่าฟาดฟัน บางทีก็ฟันเข้าตัวเอง เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่า การทำงานพาณิชย์ศิลป์ หรือวิจิตรศิลป์ ผู้ทำงานต้องรอบรู้ ถ้ารอบรู้ มีวิชา มีครูแล้ว สามารถที่จะพัฒนางานได้ทุกยุคทุกสมัย

 

คุณครูเล็กกำลังจะบอกว่า วงการบันเทิงหรืออะไรก็ตาม เป็นเพียงพาณิชย์ศิลป์เท่านั้น ไม่สามารถไต่ระดับเป็นวิจิตรศิลป์ได้

ใช่ มันเป็นพาณิชย์ศิลป์ แต่ในพาณิชย์ศิลป์ เราจะเห็นบางคน ที่เป็นพาณิชย์ศิลป์ สามารถมีงานวิจิตร แต่เป็นพาณิชย์ศิลป์

 

เช่นใครคะ

เมืองไทยไม่เห็น

 

ต่างประเทศ

ต่างประเทศเราจะเห็นอย่างไมเคิล แจ็คสัน งานวิจิตร… ดังในตัวเขาเชี่ยวชาญชำนาญหาที่ติไม่ได้เลยในศิลปศาสตร์ที่เขาทำอยู่ มีความสามารถเหนือมนุษย์ คนอยู่รอบข้างก็มีความวิจิตร แล้วทำงานพาณิชย์ศิลป์ออกมาวิจิตรให้คนคลั่งไคล้หลงใหล ขายได้ด้วย อันนี้ก็ถือเป็นความสามารถ

 

 

ถ้าเราพูดถึงปัจจัยที่ทำให้งานของไมเคิล แจ็คสัน กลายเป็นงานที่มีคุณค่า ระดับFine Art พูดแบบให้ชาวบ้านเข้าใจ

ฝีมือ ไม่ใช่ของไมเคิล แจ็คสันคนเดียว ฝีมือของโปรดิวเซอร์ คนรอบข้าง คนทำงานด้วยทุกคน ฝีมือเกิดขึ้นจากการที่ไม่ได้ทำงานเพื่อเงินอย่างเดียว ทำเพื่อเงิน และทำด้วยฝีมือด้วย จึงได้เงินเยอะ และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาด้วย คือได้ทุกอย่าง อันนี้มันน่าเอาเยี่ยงอย่าง แต่คนที่จะทำอย่างนั้นได้ ก็ไม่ใช่ก๊อปปี้เห็นเขาทำแล้วก๊อปปี้ กว่าเขาจะได้ ตรงนี้ มีที่มาที่ไปของการเรียนรู้ พัฒนาองค์ความรู้นี้ การฝึกทีละหลายๆ ชั่วโมง ตรงนั้นที่เรามองไม่เห็น มันไม่ใช่ได้มาเพราะอยากทำแล้วทำได้นะ มันคือความมุ่งมั่นอดทน วิริยะอุตสาหะ ที่เราขาด เราจะทำอะไรง่ายๆ เอาเร็ว ได้สตางค์เยอะ นี่คือความเสื่อมของมนุษย์และบ้านเมือง เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะทำอะไรง่ายๆ ได้เงินเยอะๆ มันไม่มีอะไรง่ายๆ ได้เงินเยอะๆ ในโลก นอกจากไปโกงเขา หรือเอาเปรียบเบียดเบียน มันก็จะทำได้แป๊บเดียว เพราะฉะนั้น เราก็จะเป็นศิลปินขึ้นมาแป๊บเดียว แล้วก็หายไป ก็เป็นการใช้คนอย่างไร้ค่า มนุษย์เราปั้นขึ้นมาด้วยความสวยงามนั้นคือเปลือกนอก ก็ตกไป เพราะเปลือกนอกนั้น มันมีคุณค่าแค่แป๊บเดียว และเด็กเหล่านี้ก็ไม่พัฒนาไปจนถึงแก่น ไม่มีใครเข้าใจถึงคำว่าแก่น เพราะฉะนั้นประเทศถึงหลวม นี่คือจุดของความเสื่อมไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ นี่คือความเสื่อม

 

ขอย้อนคำถามมาถามตรงนี้ชัดๆอีกที หนทางที่เป็นรูปธรรม ของคนที่อยากมีอาชีพนักแสดง สมมุติคนเรียนจบมหาวิทยาลัย อยากทำอาชีพนี้ จุดเริ่มต้นควรจะไปหาใคร ควรจะทำอะไรเป็นอันดับแรก

จุดเริ่มต้นก็ต้องถามตัวเองว่าจะเป็นนักแสดงไปตลอดชีวิตหรือไม่ แล้วจะเป็นประเภทไหน ถ้าจะเป็นเพื่อโด่งดังแล้วได้เงินเยอะๆ ก็จะเป็นกาฝากของวงการ แต่ถ้าตั้งใจจะทำไปทั้งชีวิตให้ได้ดีที่สุด ก็หมายความว่า จะมีการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต อันนี้คือการสมควรที่จะเข้ามายึดอาชีพ และมีประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้ามาเป็นกาฝากนี่ ครูดีๆ เขาไม่สอนให้หรอก นอกจากครูที่จะเอาเงินเยอะๆ ครูดีๆที่ เขาไม่สอนให้ เพราะถึงเขาสอน เขาก็สอนให้นิดเดียว จะไม่ได้ความรู้ที่จะโต เพราะว่าเขา จะเห็นในความไม่คุ้มค่าที่จะสอน จะได้เอาไปเพียงผิวเผิน

 

ถ้ามองจากคนภายนอก ก็แสดงว่าตอนนี้คนที่อยากเป็นนักแสดงจริงๆ ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมายของศิลปะการแสดง

ใช่ ไม่เข้าใจ นึกว่าดารานี่ได้เงินง่าย เป็นเร็ว แล้วทุกๆ หลายคนก็จะบอก ที่สัมภาษณ์ ได้ยินมาตรงนี้จะเอาเงินไป แล้วก็ไปทำอย่างอื่น อย่างนี้จัดเป็นกาฝาก ไม่มีประโยชน์เลย มาแย่งที่คนที่เขาตั้งใจจะมุ่งมั่น ยึดเป็นอาชีพ

 

แล้วที่นี่ หนทางคือถามตัวเองเสร็จแล้ว สมมุติว่าฉันนี่หลงไหลในศิลปะการแสดง ขั้นตอนที่เป็นรูปธรรม ต่อไปต้องทำอะไรอีก

แล้วต้องถามว่าตัวเองมีความอดทนแค่ไหน ในชีวิตนี่เกิดมามีความอดทนแค่ไหน ถ้าความอดทนน้อยมากไปทำอย่างอื่น ถ้าทำเองมีความอดทน และมีความสม่ำเสมอ อย่างเช่นไปโรงเรียน ก็ไปทุกวัน ไม่ใช่ไปๆ หยุดๆ ทิ้งๆ ขว้างๆ ทำการบ้านก็ทำทุกวัน ถ้าทำสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเรียนเก่ง ก็น่าจะอยู่ตรงนี้ได้ ก็คือไปหาครูที่เป็นมืออาชีพ

 

เอ่ยนามได้ไหมคะ ที่เมืองไทย มีสักกี่ท่าน

ไม่เอ่ยได้ไหม

 

ทำไมคะ

ไม่ได้ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร

 

เพราะว่าเป็นการกล่าวถึง

คือไปหาครูที่เป็นมืออาชีพ และเราศรัทธาเลื่อมใส อย่าไปหาโรงเรียน หรือใครที่สัญญาว่าจะให้เป็นดารา เพราะจะไม่ได้เป็นหรอก การที่จะเป็นนักแสดง หรือดาราได้มันอยู่ที่ฝีมือเรา แล้วต้องดูรูปร่างหน้าตาดูความจริงด้วย ถ้า เราสวยมาก สูงมาก เรามีวิชาติดตัว เราไปสมัครงานที่เอเจนซี่ไหน หรือคณะละคร คณะภาพยนต์ คณะอะไร ก็อาจมีสิทธิ์ แต่ถ้าหากหน้าตาสวยมาก แต่ไม่มีวิชาก็จะโดนหลอก หรือว่า ถ้าเป็นได้ ก็จะเป็นแบบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะคนที่จะเกิดได้ต้องเกิดด้วยฝีมือของตนเอง ผสมกับฝีมือของผู้กำกับการแสดง เพราะฉะนั้น การที่เราจะไปสมัครที่ไหนเราก็จะต้องดูว่าคนทำงานที่นั่น มีฝีมือแค่ไหน ถ้าอะไรก็ได้ ที่จะทำให้เกิดเป็นดารา ก็จะเกิดเป็นอะไรก็ได้ คนเราเลือกที่เกิดไม่ได้ แต่เลือกทางเดินได้ และต้องใจเย็น ต้องอดทนหาวิชาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ตัวเอง นอกจากสาวสวยแล้วยังมีวิชา อันนั้นจะมีค่า แต่ถ้ามองดูตัวเองแล้วอ้วน เตี้ย แล้วก็ดูไม่ค่อยได้ ต้องเข้าใจว่าเป็นนางเอกไม่ได้นะ เป็นตลกได้ไหม เล่นเป็นตัวอื่นได้ไหม แล้วก็พิจารณาตัวเองตามความเป็นจริง แล้วก็พัฒนาตัวเองไปตามนั้นหรือว่าเราอาจจะไปทำไฟ ทำคอสตูม ไปdesign ฉาก ก็ต้องหาความรู้ทั้งนั้น ไม่ใช่อยากทำคอสตูม แค่ชอบชื้อเสื้อผ้าก็เป็นคอสตูมได้ ต้องไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเสื้อผ้า ของสมัยต่างๆ เข้าห้องสมุดไปศึกษา ไปคุยกับผู้รู้ รู้จัก เทกซเจอของผ้า ถ้าไปทำไฟ ก็ต้องเรียนรู้ อาจจะเป็นเด็กเดินสายไฟให้เขาก่อน แล้วก็ค่อยๆเรียนรู้ คือมันไม่ใช่ว่าเห็นเด็กยกของแล้วจะโตไม่ได้ แต่ว่าเป็นเด็กยกของต้องเรียนรู้ตลอดเวลาจึงจะโตได้ ไม่ใช่ยกของ โตเป็นผู้กำกับได้ ไม่ใช่ ต้องไปเรียนรู้ อย่างเด็กของเราบางคนเขาเป็นหางเครื่อง เขาก็แอบไปเรียนรู้ ไปเรียนบัลเล่ย์ ไปเรียนแดนซ์ ไปเรียนรำไทย ไปเรียนอะไรเพิ่มเติม ฝีมือเขากลับมาก็ดีขึ้น พอดีขึ้น เราก็ให้ทุนเขาเรียนต่อ เขาก็ได้เรียนต่อ แต่มันเริ่มจากเค้ามีวิวัฒนาการ เห็นชัดเจนว่ามุ่งมั่น เมื่อเห็นใจกันตรงนี้แล้วก็ส่งเสริม แต่จะให้พี่ส่งเสริมให้หนูหน่อยไม่มีทางหรอก ใครจะทำไม่ไม่ใช่พ่อใช่แม่

สมมุติว่าบอกว่าไปสมัครที่บริษัทการแสดงนั้นหมายถึงมีการรับสมัครที่เป็นรูปธรรม

เขาก็มีการรับสมัครกันอย่างกันตนา ดาราวีดีโอ ทุกคน เขาก็เปิดรับสมัครอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าอย่าลืมว่ามีคนมาเป็นหมื่นที่จะสมัคร ถ้าเราไม่ได้ดีกว่าคนอื่น ดีกว่าแต่อาจจะไม่ได้สวยกว่า แต่เราต้องดีกว่า เก่งกว่าหรือมีคาเรกเตอร์ ถ้าเราทื่อบื่อ มันก็ไม่น่าสนใจ ถ้าเรามีคาเรกเตอร์ดูแล้วคนนี้มีคาเรกเตอร์คือมีความร่าเริง ประกอบ มีความกระฉับกระเฉง ช่างพูดช่างคุยอะไรอย่างนี้ เขาเป็นคนที่มีนิสัยดี อันนี้เขาจะสนใจ ถ้าหยาบคายกร้าวร้าว ก็คงไม่มีใครเขาสนใจหรอก เพราะว่าไม่มีใคร อยากอยู่กับคนกร้าวร้าวรุนแรง หรือว่านุ่มนิ่มตุ๋มติ๋ม เงียบเชียบ สงบเสงี่ยมจนกระทั่งเป็นหอยทาก ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะว่าเป็นหอยทาก เพราะฉะนั้นความพอดีอยู่ตรงไหนต้องค้นหา บางคนก็เจอ บางคนไม่เจอ ก็ไปทำอาชีพอื่น ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เราต้องดูตัวเอง เราแค่อยากจะเป็น แต่บางคนอยากจะเป็นนะแต่พูดไม่เป็นสักคำ จะอ้าปากก็เหมือนดอกพิกุลจะล่วงมาจากปาก อยากเป็นนักแสดงเป็นได้ไง เพราะการแสดงคือการสื่อสารทางภาษา การเต้นรำเป็นการสื่อสารทางสรีระ หมายความว่าพอแสดง ปุ๊บปากต้องพูด พูดชัดเจน พูดคมคาย พูดอย่างมีสติปัญญา ถ้าเป็นนักเต้นร่างกายก็จะต้องสื่อสารได้โดยไม่ต้องพูด

 

การสมัครที่เป็นรูปธรรมแต่ในชีวิตจริงเราจะเห็นคนที่ดังประสบความสำเร็จมาจากแมวมอง

ใช่แต่ว่าเขาไปเดินให้แมวมอง เขาไปอยู่ในที่แมวจะมอง แล้วแมวนี่จะมอง เห็นคนที่สวยสง่า มีราศี มีคาเรกเตอร์สำคัญและมีวิชา มีความสามารถ บางคนแมวมองเห็นว่า โอเค หน้าตาใช้ได้ เขาก็จะส่งมาฝึก บางคนฝึกได้ก็ได้ไป บางคนฝึกไม่ได้ก็ดับไป

 

คุณครูเล็กกำลังจะบอกว่า แมวมองกับสถานที่แมวมองมีอยู่จริงเป็นทางการ ซึ่งสมมุติคนบ้านต่างจังหวัดอยากจริงๆ ใฝ่ฝันจริงๆรู้ว่าจะมาให้ดูที่จริงๆ คือตรงนี้ใช่ไหมคะ

จริงๆ แล้วแมวมองอยู่ที่ไหนดิฉันไม่ทราบจริงๆ แล้วก็สามารถไปสมัครตามคณะละคร คณะละครจะไม่รับนะถ้าไม่เก่งจริง ฉะนั้นถ้าไม่เก่งจริงมันก็มาไม่ได้อย่างนี้เขาเรียก แคสทวินตี้ทู เมืองนอกก็จะมี เมืองมอกจะร้ายกาจ กว่าประเทศไทยอีก เพื่อว่าเป็นอะไรเพื่อที่เขามีที่ให้สำหรับคนที่มุ่งมั่น มีความพยายามสูง ความอดทนสูงเท่านั้น ที่จะเข้ามาอยู่ได้ อย่างภัทราวดีเธียเตอร์จะไม่ค่อยรับใคร แต่ก็มีหลายๆ คนที่เข้ามาอยู่ตรงนี้ถ้าถามว่าเขามาได้ไง ใครมาสมัครเราไม่รับแล้วเด็กพวกนี้เข้ามาอยู่ในนี้เพราะอะไร เพราะมีความมุ่งมั่นสูง ไม่รับก็ป่วนเปี่ยนอยู่แถวนี้ มาเรียนมานั่งดู มาช่วยงานไม่ต้องเชิญมาเองใส่ใจจนเห็นบางคนพิสูจน์กันเป็นปี เขามีอะไรก็มาเรียนเพราะที่นี่มันเรียนถูก 50 บาท มาเรียน มาทำอะไรให้เห็น จนกระทั่งคนคนนี้สม่ำเสมอมีฝีมือ ถ้าเป็นคนสม่ำเสมอแล้วไม่มีฝีมือ ก็ไม่มีใครเป็นคนมีฝีมือปั๊บขนาดไม่มองเดินผ่านยังเห็นเลย และที่มันได้เกิดคือคนมีฝีมือหน้าตาไม่ต้องสวย แต่ฝีมือจะร้ายกาจมาก เดินผ่านจะเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ อันนั้นก็จะได้เข้ามาอยู่ในวงการถึงได้บอกว่าหน้าตาสวยหน้าตาหล่อแต่ไม่เคยเรียนอะไรมาเลยอยากเป็นดาราลืมไปเลย อยู่ในโรงเรียนรำไทย โขน เรียนร้องเพลงไทยเดิม เรียนเล่นดนตรีไทยเดิมมีฝีมือมีวิชาชีพอันนั้นติดตัวมาเล่นพละเล่นยิมนาสติก เล่นกีฬา เย็บปักถักร้อยหรือมีวิชาอะไรติดตัวมา ทำกับข้าวอะไรก็ได้ อันนี้มันเป็นทางเริ่ม เราไม่จำเป็นเริ่มทางด้านนักแสดง เราอาจจะเริ่มมาทำคอสตูม เริ่มมาปักมาทำอะไรแบ้กสเตจ ที่นี้เป็นนักแสดงเป็นดาราใหญ่ไปหลายคนแล้ว แบ้กสเตจยกของ เวลาเรียนกัน เราจะเรียกเด็กเข้าคลาส ใครอยากเรียนอะไรก็เรียนเขาก็จะมาเข้าคลาส ไม่ให้เข้าก็จะมานั่งดู เห็นความอดทนเห็นความใส่ใจอย่างนี้ได้เกิด

 

อย่างพวกที่เขาไปเรียนในมหาวิทยาลัยล่ะคะ

จริงๆ แล้วในมหาวิทยาลัยมันก็เป็นการศึกษาที่ดีนะคะ เพราะเด็กนี่จบมาแล้วก็จะรู้เข้าใจวรรณคดี การอ่าน ทำresearch มันเป็นการสร้างพื้นฐานที่ดี สังเกตในที่มหาวิทยาลัย จะขาดก็คือความเชี่ยวชาญ เด็กก็มาหาความเชี่ยวชาญตรงนั้น หาวิชาเสริมเพิ่มเติม อย่างบางคนเป็นนักแสดงอย่างเดียว มันทำงานได้น้อย โอเคมีงานแสดงทีก็ได้ทำที แต่บางคนเขาก็ทำได้ เต้นได้ ร้องเพลงได้ ที่นี้เขาจะทำอะไรก็ได้ มาช่วยผู้กำกับจดแบ้กสเตจได้ บริหารคนได้ ทำ research ได้ งานเพียบเลยที่นี้ทำไม่ทัน เพราะการเป็นนักแสดงไม่ใช่นักแสดงอย่างเดียวนะ ในชีวิตเป็นนักแสดงถามเป็นนักแสดงไหม? ใช่ แต่เขียนบทกำกับแสดง สอน ครีเอทีฟ ทำคอสตูม ภายในเฉพาะคนมีวิชาเท่านี้ ที่จะเห็นแสงสว่างภายในและกล้าเดินเข้ามาเรื่อยๆ

 

ระดับการศึกษาจำเป็นไหมคะที่จะมีวุฒิภาวะที่จะตัดสินใจด้านนี้

คือเด็กเดี๋ยวนี้การเป็นศิลปิน ถ้าจะไปให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ระดับการศึกษาต้องปริญญาตรี เดี๋ยวนี้ปริญญาโทเยอะแล้ว ปริญญาโทยังเป็นแค่ตัวประกอบเลย

 

เพราะวุฒิภาวะทำให้เข้าใจศิลปะกับพาณิชย์ได้ชัดมาก

ใช่ จะมองถูกอย่างชัดมาก คือมีวุฒิภาวะนี่เด็กจะวิเคราะห์ได้ ว่างานไหนเป็นพาณิชยศิลป์ หรือว่างานนี้เป็นวิจิตรเพราะว่า คนดูประเภทนี้ เหมือนกับคนกินข้าวประเภทนี้ ควรจะทำอาหารอะไรให้ทาน สามารถจะวิเคราะห์ได้ เพราะฉะนั้นงานที่เอาไปให้แต่ละกลุ่ม ก็จะถูกวิเคราะห์วุฒิภาวะต้องบวกประสบการณ์ด้วย ถ้าไม่อย่างงั้นแล้วเด็ก บางทีก็จะไม่เข้าใจว่ากาละเทศะคืออะไร

 

แสดงว่าศิลปินจะให้ศิลปะที่ดีต้องประเมินคนดู ?

ใช่

 

คนดูไม่มีสิทธิ์จะได้รับอะไรที่เหนือตัวเอง ?

เราต้องประเมินคนดู แล้วเราต้องเหนือคนดู ต้องประเมินคนดูว่าคนดูนั้นคือใคร สมมติว่าถ้าเราเล่นในต่างจังหวัด คนดูหนึ่งหมื่นคนในต่างจังหวัด คนต่างจังหวัดเขามีอารมณ์พื้นบ้าน เขามีความเฮ้ว เขามีความมัน ตรงนั้นหมายความพลังงาน ต่อคนหนึ่งเหมือนคนต้องเยอะ พลังงานที่เล่น ความกระฉับกระเฉ่ง กำลังภายในต้องเยอะมาก ไม่งั้นเรียกว่าเอาคนไว้ไม่อยู่ ถ้าเราเล่นให้คน 10 คนดู เราก็พอประมาณเพราะว่าเราเล่นเผยแพร่แค่ 10 คน ให้เพียง 10 คน แต่ถ้าจะให้คน ่คึกคักมากนี่ เราต้องคึกคักเหนือกว่า พลังจิตเหนือกว่า เห็นไหมเวลาฝึก ไม่แค่ฝึกแค่กำลังกาย ต้องฝึกพลังจิตด้วย พลังจิต ลมหายใจ สติ สมาธิ ต้องเหนือกว่าคนดู ยิ่งจำนวนมากเท่าไหร่เราต้องเก่งกร้าวแค่นั้น

 

ประเด็นที่ครูเล็กพูดกำลังจะหมายถึงเรื่องของพลังของการแสดง

ใช่

 

แต่อีกด้านหนึ่งนะคะ ก็คือว่าการประเมินคนดูออกมาต่ำๆ เช่นคนไทยรับได้แค่นี้ มันก็เลยเล่นห่วยๆ เหมือนครูเล็กพูดตอนแรก

นั่นก็ดูถูกคนดูไง หลายๆ คนจะดูถูกคนดูเพราะว่าตัวเองไม่รู้เกินกว่านั้น ก็เลยจะอ้างคนดู เวลาเราทำอะไรคนไม่ดู เราก็จะอ้างคนดูโง่ ดูไม่เป็น แต่ถ้าเรามาพิจาณางานของเราจริงๆ เราก็จะเห็นว่า งานนี้มันอาจดีจริง แต่ว่ามันไม่เหมาะกับคนดู อย่างเช่นเราไปงานศพ แล้วใส่สีแดงเขาเรียกว่าผิดกาละเทศะ เสื้อสีแดงเราอาจจะสวย มันผิดกาลเทศะ เพราะฉะนั้นเราจะให้อาหารเด็กอ่อนกิน ก็ต้องเป็นอาหารเด็กอ่อนทานได้ ไม่ใช่เอาสะเต๊ะชิ้นใหญ่ไปให้เด็ก แต่อาหารเด็กอ่อนก็ต้องเป็นอาหารที่มีคุณค่าได้เช่นกัน การให้สิ่งที่มีคุณค่าให้ถูกกาลเทศะ นี่คือความรอบรู้ทำได้ไม่จำเป็นต้องเสียจุดยืน ไม่จำเป็นต้องไร้สาระ อย่างเช่นเอาอาหารให้ทารก เราก็ไม่ได้เอาขยะให้เด็กกิน เราเอาอาหารที่ดีที่สุดให้เด็กกิน แต่เขากินได้

 

ข้อห้าม และข้อพึงระวังในการประกอบอาชีพ และการปฏิบัติตัวของนักแสดงให้ได้เป็นนักแสดงจริงๆ หรือไม่ให้กลายไปเป็นคนติดยา

กำลังกายต้องดี ข้อที่พึงระวังก็คือ นักแสดงไม่มีอะไรอื่นเลย นอกจากร่างกายและเสียง และจิตใจที่เป็นเครื่องมือทำมาหากิน สติ ปัญญา ร่างกาย จิตใจ และเสียง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่าน ี้ต้องพัฒนาให้ดีงามตลอดเวลา ร่างกายต้องกินอิ่มนอนหลับ กินอาหารที่มีประโยชน์ แล้วก็ผิวพรรณผ่องใสจะสวยหรือไม่สวยไม่สำคัญ แต่ผิวพรรณต้องผ่องใส และดูดีไม่ใช่หน้าโทรม สิวเครอะ แล้วก็สกปรก หัวหูเป็นเหา คือต้องสะอาดสะอ้าน แต่งเนื้อแต่งตัวก็ให้เหมาะสมกับกาลเทศะ เราไปอยู่กับพวกเด็กๆ ก็ใส่ยีนต์ใส่เสื้อขาดๆ อะไรก็ได้ แต่ก็อย่างน้อย ก็ต้องมีความเท่ห์เก๋ เพราะมีร่างกายเป็นโชว์รูม เราอยู่กับผู้หลักผู้ใหญ่ก็ควรแต่งตัวให้สุภาพ และเท่ห์เก๋ น้ำเสียงต้องฝึกพัฒนาต้องมีเสียงที่ไพเราะ และมีวาจามีวาทะศิลป์ ไม่ใช่อะไรด่า สองคำด่า ใครได้ยินได้ฟัง ก็เสื่อมศรัทธา และการรู้จักพูดจานั้น ก็ไม่ใช่ว่าพูดจาตอหลดตอแหล พูดจาแล้วเป็นมงคลแก่ตัวเอง เป็นมงคลแก่ผู้ฟัง และมีจิตใจที่งาม ก็จะมีแต่รอยยิ้มที่งาม คนที่จิตใจไม่งามยิ้มไม่ค่อยออก หน้าก็จะบึ้งตึง ตาจะถะโลนถะลัก แล้วถ้าจิตใจที่งามถึงไม่ยิ้มแฉ่งแต่ในตาหรือใบหน้าก็มีความเป็นมิตร มันก็ทำให้โชว์รูมของเราผ่องใส เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กๆ ด้วย

 

คนที่ฝันอยากเป็นนักแสดง นอกเหนือจากสิ่งรูปธรรมที่กล่าวมาแล้วนี่ จะขาดอะไรไม่ได้คะ

ขาดวิชา ขาดไม่ได้

วิชาหมายถึงจะต้องเรียนกับผู้รู้จริงเท่านั้นหรือว่าอะไร

ก็คือจะต้องตรงไปที่ใดที่หนึ่งอย่างชัดเจน เราเรียนรู้จากโทรทัศน์ การดู การสังเกตก็ได้นะ แต่ว่ามันก็เหมือนกับเราเรียนภาษาไทยเราจะเรียน ก ข จากไหนหละ เราแค่ดูว่าเขาเขียนอย่างนี้ แล้วเราจะไปรู้ไหม ถ้ามีครูสักนิดหนึ่ง เราก็พอจะรู้ ก.ไก่ เขียนอย่างไง ฮ.นกฮูกเป็นอย่างไง พอเรารู้พื้นฐานเราก็ค่อยๆ พัฒนาไปได้ ไม่จำเป็นต้องรู้ไปหมด คนเราเรียนรู้หมดไม่ได้ทุกปี เราจะค่อยๆ รู้ แม้กระทั่งตัวเอง ที่สังเกตมาบางทีทำมา 30 ปี เราก็จะอ๋อที่ครูเขาพูดไว้หรือที่ผู้รู้ ใครอ่านหนังสือเคยเจอเมื่อ 30 ปีที่แล้วมันหมายถึงอย่างนี้เองนะ ค่อยเข้าใจว่า 30 ปีให้หลัง เพราะว่ามีพื้นฐานมาแล้ว เราก็อ่านหนังสือเราก็มีครูคนนี้คนนั้น ฟังๆไปเรื่อยๆ สังเกตจากโทรทัศน์ บางอะไรบ้างภาพยนต์ดีๆ บ้าง มันก็จะอ๋อมันจะเข้าใจเรื่อยๆ เพราะยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ความรู้มันก็จะมาก ขึ้นเรื่องสำหรับดิฉันที่ขาดไม่ได้คือวิชา หน้าตาอย่างไรก็ได้ และก็ขาดไม่ได้ก็คือสติ สมาธิ เพราะฉะนั้นถึงบอก กินเหล้าเมามาย ยาเสพติดมันทำไม่ได้เพราะว่ามันทำให้ร่างกายอ่อนแอ มันทำให้สมองเสื่อม มันก็คือเอาขี้มาป้ายโชว์รูมเรา

 

แล้วอย่างที่ว่ามา IQ มันจำเป็นไหมคะ จำเป็นที่สุดไหมคะ

ที่สอนเด็กมานะคะ มันจะมีเด็กที่เรียนเร็ว แล้วก็หยุด เพราะอีโก้สำคัญผิด คิดว่าตนเองเก่ง ก็หยุดเหมือนกระต่ายกับเต่า จะมีเด็กบางคนช้ามาก แต่บัดนี้มันไปถึงวิจิตรศิลป์ เพราะมันไม่หยุดเดินไง แต่ไอ้มาเร็ว แล้วหยุดเรียนรู้ เพราะว่าเก่งแล้วก็เป็นไอ้พวกเ่ว่้อๆ อยู่ในโทรทัศน์ที่เห็นนี่ พวกเล่นเว่อๆ กรี๊ดๆ กร๊าดๆ แต่ไม่รู้ว่าเล่นอะไร พวกนี้ไม่ได้กล่อมเกลามาไง ไม่เข้าใจมนุษย์ พอเขาบอกเป็นตัวผู้ร้าย ทุกคำก็จะร้ายหมดไม่เข้าใจว่า มนุษย์คนไหนที่เกิดมาอุแว้แล้วเป็นคนร้าย มนุษย์ทุกคนเป็นคนดีทั้งนั้น แต่บางขณะ หรือบางคนก็อารมณ์รุงแรงมากกว่าอีกคนหนึ่ง จึงทำให้กระทบกระเทือนมากกว่าคนอื่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมนุษย์ทุกคน อยากเป็นคนดีทั้งนั้น ถ้านักไม่เข้าใจมนุษย์ถึงบอกว่าสติสมาธิความเข้าใจไม่มีวิชาไม่มี ไม่เข้าใจสำคัญผิดคิดว่าตัวเก่งได้เงินเยอะได้ค่าตัวเยอะ สำคัญผิด่คิดว่าตรงนั้นคือใช่ คือการวัดระดับของการเป็นนักแสดงไม่ใช่

 

ถ้าพูดให้สมัยใหม่ก็คือ IQ ของนักแสดงสำคัญน้อยกว่า EQ ที่เขาพูดกันเดี๋ยวนี้

ใช่

 

คือจะให้ชาวบ้านที่เขาฝันจะเป็นนักแสดง จะได้รู้ว่ามันมีข้อเท็จจริงอย่างไร นอกเสียจากมันฟุ้งๆ อยู่

แต่ก็ต้องบอกว่าครูเข้ามาเป็นนักแสดงก็ฟุ้งๆ ก็เหมือนคนทั่วไปฟุ้งๆ อยากเป็นนักแสดง มีรู้แค่นั้น อยากเป็นนักแสดง แต่เผอิญมีผู้รู้บอกไปเรียนซิ จึงไปเรียน เพราะก่อนหน้าที่จะไปเรียน ก็เป็นนักแสดง เป็นนางแบบ แล้วก็หันไปดูงานตรงนั้น แล้วก็ขันว่าที่เราคิดว่าเจ๋ง เด่นสุด มันทุเรศมากเลย เพราะเราไม่รู้ เพราะไปเรียนกลับมางานก็ดีขึ้น แต่ก็ยังขัน เพราะว่าที่เรียนรู้ 2 ปีจบมามันก็คือปฐม 1 ทุกปีเราเรียนรู้มากขึ้นๆ มันก็เหมือนกับว่ามีพัฒนาการ จากอะไรที่ฟุ้งๆ ก็ชัดเจน

 

จำเป็นไหมคะ ที่น่าจะมีอะไรสักอย่าง บอกเด็กไทยว่าอาชีพไหนคืออะไรอย่างถ่องแท้ หรือว่าให้เขาเรียนมาเอง จนถึงวันที่เขาอยากจะเป็นแล้วค่อยมาเดินผิดเดินถูกเอง

จริงๆ ก็น่าจะมีการแนะแนวในโรงเรียนเรา เอาพวกมืออาชีพเข้าไปแนะแนวพวกเด็กๆ ให้เข้าใจถึงว่าอาชีพอย่างนี้ มันมีพัฒนาการอย่างไรได้บ้าง แล้วเราควรจะเตรียมอะไรได้บ้าง เพื่อที่จะเอาติดไม้ติดมือ มีสมบัติติดตัว เพื่อที่จะไปสู่ทิศทางนั้น คนส่วนมากมามือเปล่าที่สมัคร 3,000 คนนี่ บางที่ 3,000 คนมือเปล่า ไม่ได้สักคน เศร้ามาก ศักยภาพของประเทศนี้ บุคลากรหลวม ตื้น อยากได้เงินเยอะๆ อย่างเดียว เศร้ามากเลยแล้วประเทศจะพัฒนาไปได้อย่างไร

ถ้าวันหนึ่งสมมติว่า มีโครงการที่จะจัด Roadshow รวบรวมความรู้ด้านอาชีพแต่ละโปรเจค อาจจะรวมเป็นอาชีพสัก 5 อาชีพแต่ละอันแตกต่างกันไป ทางนี้พอจะมีบุคลากร ที่สามารถไปร่วมให้ความรู้ได้หรือไม่คะ

 

ยินดีคะ ที่จะไปพูดให้ เพราะเป็นห่วงมากเลยที่ครูเล็กเคยสอนเด็ก บอกอยากเป็นดาราเงินไม่ต้อง ..เรียนเลย เพราะเงินไม่อยากได้ แต่จะสนับสนุนคนที่ยึดอาชีพนี้จริงๆ และมุ่งมั่น และมีสิทธิมีหนทางที่จะทำได้ เนื่องจากบางคนเขาจะเรียนเพื่อพัฒนาบุคลิกตนเอง อันนี่ก็ยินดี คือมันก็เอาไปใช้ได้หลายอย่างศิลปะเขาไปใช้บำบัด บำบัดคนเป็นโรคจิต โรคประสาท บำบัดให้มีบุคลิก มีความกล้าหาญมีความเป็นผู้นำ ศิลปะเอาไปบำบัดได้หลายอย่าง เอาไปใช้ได้ประโยชน์หลายๆ อย่าง เฉพาะคนที่เป็นนักแสดงที่รอบรู้เท่านั้น ที่จะเอาศิลปะเอาไปใช้ได้ ในกิจการต่างๆ มีประโยชน์ ไม่งั้นก็จะเล่นตลก บ้าๆ บอๆ ไร้สาระไปวันๆ หนึ่งเพื่อได้เงิน

 

————————————————

ที่มาจาก http://www.yes-wedo.com

You may also like...