แม้จะเป็นบุคคลที่ทำงานในแวดวงศิลปะการแสดงระดับมืออาชีพ ที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับในฐานะศิลปินชั้นครูที่มีผลงานด้านการแสดงอย่างมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่รักสันโดษ ทุ่มเทชีวิตให้กับงานที่รักอย่างเต็มเวลาโดยไม่สนใจไล่ล่าชื่อเสียงเกียรติยศ จึงอาจทำให้เขาไม่ใช่คนเด่นคนดังในพื้นที่สื่อ แต่ชื่อของ “จิม สุนทร มีศรี” เป็นที่ยอมรับอย่างชัดเจนในวงการแสดงระดับแนวหน้า ว่าเป็นนักแสดงไทยมากความสามารถ ผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์และทักษะ การันตีด้วยผลงานคุณภาพซึ่งล้วนแต่เป็นบทบาทที่ลึก ยาก ต้องใช้ทักษะการแสดงขั้นสูง ที่ปรากฎออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและระดับโลก และการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมในเทศกาลหนังอินเตอร์
เด็กต่างจังหวัดจาก อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง
“บ้านผมอยู่ที่นาโยง เป็นครอบครัวชาวบ้านธรรมดา มีอาชีพเป็นชาวสวน ทำสวนยาง ผมเรียน ม.ต้น ม.ปลาย ที่โรงเรียนวิเชียรมาตุ ตั้งแต่เป็นตึกเก่าในตัวเมืองตรัง เป็นรุ่นเกือบสุดท้ายที่ได้เรียนที่นั่นก่อนจะย้ายไปที่ตั้งใหม่ และเรียนปริญญาตรีจบ ครุศาสตร์บัณฑิต จุฬา สาขาศิลปะศึกษา เป็นสาขาที่เรียนเพื่อให้จบมาเป็นครูสอนศิลปะ
ชีวิตวัยเยาว์กับแรงบันดาลใจด้านศิลปะที่แวดล้อมอยู่รอบตัว
“คนบ้านใกล้เรือนเคียงผม ในช่วงวัยหนุ่มสมัยนั้นเขาวาดรูปกันหมด อย่างคนในครอบครัวผม ถ้าไม่วาดรูปก็ร้องเพลง ก็คือมีความเป็นศิลปินอยู่เป็นพื้นฐาน และเราก็ได้รับส่วนนี้มาจากครอบครัวค่อนข้างเยอะ
“ผมชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ทั้งด้านการวาด และมีทักษะด้านการเขียน มีงานเขียนบทกวีด้วย ก็ตามประสาคนทำงานสายศิลปะ มันก็ไปได้หมด
จากจิตรกรที่สร้างผลงานแนวนามธรรมสู่บทบาทครูศิลปะในอเมริกา
“งานศิลปะของผมเป็นรูปแบบนามธรรม ไม่ได้เขียนภาพวิว หรือภาพเหมือนอะไรทำนองนั้น แต่ก็ยังพอมองออกนิดหน่อย”
“ผมทำงานศิลปะอยู่ค่อนข้างนาน ก็มีช่วงหนึ่งที่ไปสอนศิลปะที่อเมริกา จากการได้รับทุนสำหรับศิลปิน ซึ่งในตอนนั้นผมมีผลงานศิลปะที่แสดงเดี่ยวแล้ว และได้รับการคัดเลือกไปสอนที่ศูนย์ศิลปะนิวเจอร์ซี่
“เพื่อนร่วมรุ่นที่ทำงานศิลปะเขาก็ได้ไปในจุดอื่นๆ ส่วนผมถูกส่งไปศูนย์ศิลปะของรัฐนิวเจอร์ซี่
ผมเป็นคนที่ชอบเรื่องภาษาอยู่ด้วยโดยพื้นฐานของคนสายศิลป์ ภาษาอังกฤษก็พูดได้อยู่แล้ว จริงๆสมัยเรียนอยู่ตรังช่วง ม.ศ. 5 ผมก็ทำหน้าที่แทนครู ช่วยสอนภาษาอังกฤษ
ถึงจะใช้ภาษาได้ แต่เมื่อไปอยู่อเมริกาก็ต้องปรับตัว เพราะอเมริกาในแต่ละรัฐแต่ละเมืองก็จะใช้สำเนียงภาษาเปลี่ยนไป accent แตกต่างกัน แต่ก็ได้เด็กๆที่สอนมาคอยช่วยผม ช่วยแก้คำให้ จนผมชิน เวลาผมพูดผิดก็จะมีเด็กๆช่วยแก้ให้ถูกต้องตลอดเวลา
“เรื่องภาษาที่ใช้ได้คล่องอาจเป็นเพราะเราสนใจตรงนี้อยู่ตลอดเวลา มีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา แต่จริงๆทุกวันนี้ผมก็ยังมีปัญหาเรื่องการฟัง ตั้งปรับให้ดีขึ้นไปอีก ต้องพยายามตั้งใจฟัง”
ก้าวแรกสู่โลกของดนตรีจากจุดเริ่มต้นที่ไม่รู้จักโน้ต ไปสู่ระดับที่ขับร้องโอเปร่าได้
“ศูนย์ศิลปะที่ผมไปสอนนั้น ไม่ได้สอนวาดรูปอย่างเดียว มีทั้งแผนกละคร ภาพยนตร์ ดนตรีคลาสสิก รวมถึงดนตรีอื่นๆทุกประเภท แล้วผมทำหน้าที่เป็นฝ่ายศิลป์ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกจุด เขาให้มาซ่อมตรงโน้น ช่วยตรงนี้ ผมก็ถือค้อนเข้าไป ทำให้ได้หมด และพอเข้าได้หมดทุกจุด ผมก็เริ่มเล่นเคาะโน่นเคาะนี่ไปเรื่อยๆ ทีนี้หัวหน้าแผนกดนตรีเขามายืนฟังอยู่แล้วก็บอกกับลูกน้องของเขาซึ่งเป็นอาจารย์ว่า ฝากเด็กคนนี้ด้วย ทำให้ผมได้เข้าไปในแผนกดนตรี แรกๆเขาให้เข้าไปช่วยเปิดโน้ตเวลาที่เขาเล่นเปียโน ตอนนั้นผมยังไม่มีความรู้ใดๆเลย ได้แค่รอให้เขาพยักหน้าแล้วก็เปิดตามทีละหน้า ตอนหลังก็เริ่มศึกษาว่า โน้ตตรงนี้อ่านยังไง ก็ค่อยๆซึมซับไป ได้เรียนรู้ไปกับชีวิตที่เหมือนกับไหลไปเรื่อย และไม่ว่าชีวิตมันจะไหลไปทางไหน เราก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรกับมัน”
สู่โลกของศิลปะการแสดง
“ตอนที่ผมมาอยู่อเมริกา อายุราว 28-29 ปี จากการที่ได้ทำงานในศูนย์ศิลปะแห่งนี้ ก็มีกิจกรรมที่ทางศูนย์เขาเปิดให้อาจารย์แผนกต่างๆขึ้นไปบนเวที พอลองเล่นไปเล่นมาเขาบอกว่า สัปดาห์นี้ให้ผมขึ้นโซโลไปเลย ก็ได้ขึ้นโซโลต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนรู้สึกว่ามันสนุก เราได้ค้นพบตัวเอง และก็กลายเป็น The Soloist “
จากมือสมัครเล่นสู่การเป็นศิลปินอาชีพโดยเริ่มจากละครเวที
“หลังจากที่ผมกลับมาจากอเมริกา ผมก็ยังเป็นศิลปินวาดรูปอยู่ ไม่ได้คิดอะไรมากมายจนกระทั่ง ‘ข้างใน’ มันเปลี่ยน ข้างในมันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น มันเริ่มมีสิ่งใหม่งอกเงยขึ้นมาแต่เรายังกดมันไว้อยู่ จนกระทั่งมันถึงจุดที่ชีวิตมันพลิกไปเลย เป็นการพลิกผันแบบวายป่วง เมื่อถึงขั้นนั้น เราก็เลยต้องยอมมัน ยอมฟังเสียงข้างใน แล้วก็เริ่มเทคคอร์สเรียนเลย
“ก่อนหน้านั้นที่ผมทำงานศิลปะ ผมเขียนรูปขนาดใหญ่ เท่ากับผนัง มาถึงจุดนั้นมันผ่านอะไรมาเยอะมาก ผ่านกระบวนการคิด ผ่านสภาวะทางจิต จนกระทั่งงานนั้นเสร็จลง ผมก็วางพู่กันเลย แล้วก็ตัดสินใจว่า โอเค ออกไปข้างนอก ไปหาครูดีกว่า เพราะรู้สึกว่า ข้างในผมต้องมีอะไรสักอย่าง ก็เทคคอร์สเรียนไป คอร์สหนึ่ง…คอร์สสอง พอไปถึงคอร์สสาม เขาบอกว่า โอเค เดี๋ยวมีทุนให้เลย ให้เรียนฟรี
“ครูคนแรกของผมเป็นปรมาจารย์ในไทยเลย ท่านคือ อาจารย์คำรณ คุณะดิลก แห่งกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวการละคร (อาจารย์คำรณ คุณะดิลก อดีตอาจารย์ผู้สอนศิลปะการแสดง คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผู้ก่อตั้ง “พระจันทร์เสี้ยวการละคร” – ผู้เขียน) สิ่งที่ได้เรียนจากท่านเป็นฐานที่แน่นมาก ท่านไม่ได้สอนในสิ่งที่เราจะนำไปใช้ในเรื่องนั้น แต่ลงลึกไปที่ฐาน การเคลื่อนไหว ทุกอย่างหมดเลยแบบลงลึก ทำให้เราสามารถปรับตัวไปทางไหนก็ได้
“ถ้าเราเจอครูดี เราจะไปได้ไกล แต่ถ้าเราเจอประเภทครูพักลักจำ เราจะไปได้แค่นิดเดียวแล้วเราก็จะล้ม แต่นี่คือมันการแตกแขนงจากคนที่ไม่มีทักษะทางดนตรี ด้านการขับร้องเลย แต่กลับกลายเป็นว่าผมสามารถทำงานร่วมกับวงขนาดใหญ่ได้ ทั้งร้องทั้งแสดง แต่ถ้าเทียบกับสายอาชีพของเขาจริงๆ ผมยังอยู่ระดับล่าง คือในงานประเภทนี้มันจะมีการสอบวัดเกรดระดับต่างๆ ซึ่งผมจัดอยู่แค่ระดับประถม แต่ก็สามารถทำงานต่างๆกับเขาได้”
ก้าวสู่การเป็นนักแสดงละครเวทีระดับอินเตอร์
“ช่วงที่อยู่ในวงการละครเวที ต้องซ้อมหนักมาก ซ้อมกันตลอด 3-4 ปีต่อเนื่อง แต่ช่วงเวลาตรงนั้นคือเล่นละครทัวร์ ไปทัวร์ที่ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา โดยละครที่ไปทัวร์แสดงในต่างยุโรปกับอเมริกาชื่อเรื่องว่า ผู้อภิวัฒน์ เป็นชีวประวัติของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เล่นกันยาวนานมาก ส่วนเรื่องที่ไปเล่นในญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่ทางญี่ปุ่นเขาคิดขึ้นมา คือเรื่อง Akaoni แปลเป็นไทยก็คือ ยักษ์ตัวแดง เป็นตำนานโบราณของญี่ปุ่น ก็เล่นไปปีแรกในช่วงปี 2540 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังพังเลยนะ เราก็ได้ไปญี่ปุ่นพอดี และพอข้ามปีไป เขาบอกว่าละครเรื่องนั้นเป็นละครยอดเยี่ยมประจำปี ก็ได้รับเชิญให้กลับไปแสดงที่ญี่ปุ่นอีก เป็นช่วงระหว่าง 3-4 ปี ที่เราเทียวไปมาเพื่อแสดงที่โตเกียว”
เงื่อนไขของการเลี้ยงชีพด้วยการเป็นศิลปินอาชีพ
“ชีวิตคนทำงานศิลปะมันแตกต่างจากชีวิตคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าเราเดินตามคนอื่น คือต้องมีบ้าน มีรถคันใหญ่ มันก็ไม่ได้ เราต้องวางเรื่องเหล่านั้น ไม่ต้องไปคิดเรื่องบ้านเรื่องรถอะไรทั้งนั้น เอาแค่ว่า เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ เรื่องอื่นๆทุกอย่างเราก็ประคองให้ไปกับมันได้”
เข้าสู่วงการหนังต่างประเทศ
“ตอนเริ่มต้นอาจารย์ที่สอนละครเวทีบอกว่ามาช่วยเล่นหนังให้สักฉากนึง ตอนนั้นอาจารย์ทำหนังของเดนมาร์กอยู่ ต้องไปถ่ายที่เชียงใหม่ คิดว่าจะไปวันนึงก็คงจบ พอระหว่างเดินทางเขาก็บอกว่า บทมันเปลี่ยนแล้วนะ ต้องขึ้นมาเล่นเป็นนักแสดงนำ ต้องอ่านบททั้งเล่ม ก็ช็อค ไข้ขึ้นเลย เพราะตอนแรกเขาให้มาท่องแค่ชีทใบเดียว ตอนหลังให้มาเป็นเล่ม แต่ก็ยังดีที่เขาบอกว่า งั้นจะร่นการถ่ายออกไปสัก 3 วัน 3 เซ็ท อีกวันให้เราเตรียมตัวอ่านบท แล้วไม่มี acting coach ไม่มีอะไรทั้งนั้น อ่านเองหมดเลย บางช่วงมันผ่านแบบฝึกหัดตรงนั้นเยอะมาก อย่างเช่น บางวันคิวเกิดผิดพลาดขึ้นมา ผู้กำกับบอกว่าจะถ่ายซีนนี้นะ แต่เรายังไม่ได้อ่านบทนี้เลย ไม่ได้เตรียมตัวมา แค่อ่านมาคร่าวๆ แต่การที่เราถ่ายมาระยะหนึ่งแล้ว เราจะรู้ว่า ตัวละครมันเป็นยังไง และฉากที่ตัวละครตัวนี้เถียงกับพระเอกยาวมาก ผู้กำกับถามว่า ไหวไหม เราก็บอกว่า ไหว ลองปรับความรู้สึกนิดนึงก็เถียงกับเขา เถียงจริงๆเลยนะ ผู้กำกับดูแล้วก็บอกว่า ใช่ แล้วก็จบได้ตามนั้นเลย
“คือถ้าเราบอกว่า ไม่ มันจะบล็อกเราเลย เมื่อในหัวเราบอกว่า ได้ มันก็คือ ได้ ในการแสดงข้างในมันต้องเคลียร์กับตัวเอง มีอะไรปิดกั้นเรานิดเดียวมันจะบล็อกเรา
“การที่ผมได้ผ่านการแสดงเรื่องนั้นมา เป็นการผ่านแบบฝึกหัดที่เยอะมาก จากตัวละครแค่ฉากเดียว นี่กลายเป็นแสดงหนัง”
เป็นนักแสดงอาชีพระดับสากล
“หนังที่เล่นแล้วประทับใจหลายเรื่องเป็น หนังยุโรป ส่วนใหญ่จะไม่เข้ามาฉายที่ไทย เรื่องที่ฉายในไทยก็เป็นหนังแอคชั่นธรรมดา แต่ว่า ส่วนตัวผม ทุกครั้งที่เขาระบุตัวผมให้ไปทำงานก็คือ ต้องเป็นนักแสดงละครเวที เพราะมันจะยากมาก และซีนมันต้องใช้แอ็คติ้งระดับสูง
“ข้อมูลการแสดงของผม มีคนเข้าไปค้นในกูเกิล ตัวผมเองยังไม่กล้าค้น อาจจะมีรูปผมอยู่เยอะ หรืออย่างใน IMDB การจะมีข้อมูลในนั้นต้องจ่ายค่าบริการรายปี ปีละ 6พันบาท ก็อาจจะมีข้อมูลของผมอยู่บ้างประปราย”
ผลงานที่ภูมิใจ
“สำหรับผมคงเป็นหนังเดนมาร์ก เรื่องแรกที่เคยแสดง เรื่องนั้น เพราะต้องใช้ศักยภาพสูง และหนังมีเล่นกับผู้กำกับออสเตรเลีย ในบทเป็นศาสตรจารย์ที่เบื่องานละทิ้งชีวิตเดิมมาเป็นคนขับตุ๊กๆ บทนั้นผมได้เข้าชิงนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมในเทศกาลหนังที่เมืองนอก”
เปรียบเทียบประสบการณ์ทำงานระหว่างกองถ่ายในประเทศและต่างประเทศ
“ต่างประเทศก็คือความเป็นมืออาชีพทุกจุดเลย ทั้งนักแสดง ทั้งทีมงานทุกๆฝ่าย เค้าจะไม่มีมาบอกว่า ให้ลองซ้อมดูซิ ถึงเวลาเขาก็ให้เข้าไปที่ฉากเลย เอาจริงเลย เพียงแต่ว่า ในการถ่ายทำอาจจะมีซ้ำหลายๆครั้ง แก้โน่นแก้นี่ เปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ มีการเคลื่อนย้ายฉาก ซึ่งช่วงว่างตรงนั้นเราจะมีการพัฒนาภาษาและพัฒนาทักษะของเราไปเรื่อยๆ”
เป้าหมายในชีวิต
“ผมเป็นคนที่ไม่ตั้งเป้าหมายใดๆเลยนะ ผมเป็นคนลื่นไหล เหมือนกับ มีเหตุการณ์หนึ่ง ผมก็คว้าได้ทันที เพราะมันมีการปูพื้นฐานเอาไว้หมดแล้ว อะไรเข้ามาก็คว้าแล้วไป สิ่งเรารักมันจะนำเราไปถึงจุดอะไร ก็ไม่รู้ แต่เชื่อว่า ‘ข้างใน’ ของเรานั้นเต็มอิ่ม
“คนเป็นนักแสดงจริงๆ เขาไม่มาสนใจเรื่องชื่อเสียงอะไรทั้งหลายแหล่ เขาสนใจแค่ว่า สิ่งที่เขาทำ เป็นสิ่งที่เขารักจริงๆ เขาไม่มายด์เรื่องเงิน เพราะฉะนั้นเวลาใครมาจ้างอะไรผม ผมไม่ถามว่า รายได้เท่าไหร่ แค่คิวว่าง แล้วเค้าเรียก ผมทำให้ บางงาน แม้แต่งานนักศึกษาผมก็ทำให้ ขอแค่มีคิวว่าง เรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน
“ผมเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่เขาไม่ได้มาสนใจ ลูกจะไปเรียนอะไรเขาไม่มาห้าม เราสนใจอะไร เขาก็บอกทำไปเถอะ มันก็ไปของมันเองได้ ไม่มีใครมาเบรค ปล่อยให้ค้นหาเอง”
คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปะการแสดง
“สำหรับน้องๆที่อยากก้าวมาเส้นทางนี้ อย่างแรกผมว่า ต้องหาครูที่ดี แล้วเขาจะค้นหาสิ่งที่อยู่ข้างในของเราออกมาได้ชัดเจน และมันจะยั่งยืนไปยาวนาน หมายถึงว่า ลงรากลึกไปเลย ซึ่งพื้นฐานนี้ คุณอาจจะเป็น actor หรืออาจจะเป็น designer เป็นนักร้อง เป็นอะไรก็ได้
“ช่วงหลังมีคนที่จบสายตรงมาก็เยอะนะ แต่ว่าในสมัยก่อน ถ้าได้เรียนกับครูที่เขาผ่านประสบการณืชีวิตมาค่อนข้างเยอะมาก ก็จะสามารถช่วยลัดเส้นทางการเรียนรู้ให้เราได้ คือถ้าเราค้นหาเองมันจะนานมากใช่ไหม การมีครูดีจะช่วยลัดให้ แต่เรื่องทักษะ เราก็ต้องผ่านเวลานะ ถ้าเป็นไปได้ควรหาที่เรียน มันจะช่วยให้ทางลัดเรา และอีกอย่างคือครูเหล่านี้เขาจะมีคอนเนคชั่น ช่วยเพิ่มโอกาสให้เรา
“ก็มีน้องๆเพื่อนๆเข้ามาถามว่า จะไปเรียนที่ไหน เรียนโรงเรียนนี้ดีไหม คำตอบของผมคือ อย่างแรกต้องใกล้ๆบ้าน อย่างที่สองต้องดูว่าเขามีคอนเนคชั่นกับต่างประเทศไหม อย่างที่สามคือเขามีพื้นฐานที่ดีพอ แน่นพอไหม อย่างยุคนี้ คนสอนก็น่าจะมีวุฒิปริญญาโท และสุดท้ายคือมีประสบการณ์ยาวนาน ถ้าได้องค์ประกอบครบตามนี้ ก็ไปทะลุได้เร็ว”
เมื่อพิกัด ‘บ้าน’ อยู่ในหัวใจ
“คนทำงานสายนี้ เราต้องอยู่ตรงไหนก็ได้ อยู่บนเกาะร้างก็ได้ ขอแค่มีอินเตอร์เน็ตและมีสนามบินใกล้ๆ (หัวเราะ) มันพร้อมจะบินได้ตลอดเวลา เรื่องการเดินทางมันค่อนข้างเร็ว ผมเจองานด่วน อย่างเช่น กองถ่ายที่ปักกิ่ง เขาโทรมาถามว่า ว่างไหม แจ้งว่ากี่คิวๆ ถ้าคิวได้ก็…มา บินมาเลย”