ธรรมเนียมการแต่งกายในพระราชพิธีโสกันต์

พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จัดกิจกรรมงานเสวนาวิชาการเรื่อง “ธรรมเนียมการแต่งกายในพระราชพิธีโสกันต์”เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชพิธีโสกันต์ (โกนจุก) ตลอดจนเครื่องแต่งกายในพระราชพิธีดังกล่าว โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ (ชวิน รังสิพราหมณกุล) ประธานพระครูพราหมณ์และหัวหน้าพราหมณ์ สังกัดกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง และอาจารย์บุหลง ศรีกนก นักอักษรศาสตร์ชำนาญการพิเศษ กรมศิลปากร พร้อมการสาธิตการแต่งกายในพิธีโกนจุกประกอบการบรรยายโดยอาจารย์ วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ประธานกลุ่มจันทร์โสมา เมื่อปลายเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ณ พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง

พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ (ชวิน รังสิพราหมณกุล) ประธานพระครูพราหมณ์และหัวหน้าพราหมณ์ สังกัดกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง กล่าวถึงคติความเชื่อและประเพณีเกี่ยวกับเด็กเกิดใหม่ของไทยว่ามีมากมายหลากหลายธรรมเนียม ขึ้นอยู่กับแต่ละภูมิภาค ความเชื่อ ศาสนา ตลอดจนสภาพสังคมนั้นๆ ตามประเพณีราชสำนัก

เมื่อพระราชโอรสหรือพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ หรือบุตรธิดาของขุนนางผู้ใหญ่เรื่อยมาจนถึงบุตรธิดาของคนสามัญธรรมดาทั่วไปสมัยก่อนมักนิยมไว้ผมจุกเป็นส่วนมาก

ดังปรากฏในหนังสือเรื่อง ‘ประเพณีเนื่องในการเกิด’ ของพระยาอนุมานราชธน ระบุว่า คติเกี่ยวกับการไว้จุกนั้นเริ่มหลังจากที่มีพิธีโกนผมไฟโดยจะเว้นผมไว้ตรงส่วนกระหม่อม เพราะถือเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดบนศีรษะ แต่ก็มีการพัฒนาเกี่ยวกับการไว้ผมในหลายยุคหลายสมัย เท่าที่พอจะทราบและเชื่อกันว่าประเทศไทยนั้นน่าจะได้รับคติการไว้ผมจุกนี้มาจากศาสนาพราหมณ์ อันเกี่ยวเนื่องกับคติการบูชาเทพเจ้า เนื่องด้วยเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์นั้นมีผมยาวและขมวดมุ่นเป็นมวยไว้กลางศีรษะ อาจมีการนำคติดังกล่าวมาดัดแปลงเป็นทรงผมเด็ก ด้วยมีความเชื่อว่าเด็กจะได้รับการคุ้มครองจากพระผู้เป็นเจ้า

สมัยโบราณจะนิยมให้บุตรธิดาไว้ผมจุกจนโตอายุประมาณ ๑๑-๑๓ ปี ก็จะทำพิธีโกนจุก เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงออกกับทั้งตัวเด็กและคนรอบข้างว่า บัดนี้ตนเองหาใช่เด็กเล็กๆ อีกต่อไปแล้ว หากแต่กำลังก้าวข้ามสู่ช่วงวัยผู้ใหญ่ พิธีโกนจุกนี้หากเป็นของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไปจะเรียกว่า “พระราชพิธีโสกันต์” ส่วนพระอนุวงศ์ระดับหม่อมเจ้า เรียกว่า “พิธีเกศากันต์” โดยโหรหลวงจะดูฤกษ์ยามเพื่อกำหนดวันเวลาที่จะเริ่มพระราชพิธีโสกันต์ ซึ่งจะมีพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์พร้อมกัน ส่วนใหญ่มักจะประกอบ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นมักจะประกอบพิธีนี้ ร่วมกับพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ (พิธีตรุษไทย พระราชพิธีเดือน ๔) ซึ่งต่อมาจะประกอบร่วมกับพระราชพิธีตรียัมปวาย (โล้ชิงช้า)

พร้อมกันนี้ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ได้นำเครื่องพิธีที่ใช้ในพิธีโกนจุกที่โบสถ์พรามหณ์ มาแสดงให้ผู้เข้าร่วมงานเสวนาฯ ได้ชมอย่างใกล้ชิด อันประกอบด้วย บัณเฑาะว์ เป็นกลองสองหน้าที่ใช้เป็นเครื่องให้จังหวะในงานพระราชพิธีต่างๆ เพื่อขับไล่ความอัปมงคลทั้งหลายให้ออกจากสถานที่ที่ประกอบพิธีนั้น สังข์ สำหรับรดน้ำประสาทพร ประดับด้วยนพรัตน์ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล ถาด ๓ ขา สำหรับเป็นที่รองสังข์ กรรไกรและมีดสำหรับโกนผม ทำจาก เงิน ทอง นาค และแว่นเวียนเทียน ที่ใช้ในการเวียนเทียนในงานพระราชพิธีเพื่อให้เกิดสิริมงคล

อาจารย์บุหลง ศรีกนก นักอักษรศาสตร์ชำนาญการพิเศษ กรมศิลปากร ให้ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของพระราชพิธีโสกันต์ในราชสำนักสยาม โดยสันนิษฐานว่าในสมัยกรุงสุโขทัยยังไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับพระราชพิธีนี้ กระทั่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงได้มีการกล่าวถึงการโสกันต์ครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ณ บ้านเกาะเลน พ.ศ. ๒๑๗๕ เป็นการโสกันต์พระเจ้าลูกเธอ พระองค์อินทร์ หลังการโสกันต์พระราชทานพระนามว่า เจ้าฟ้าชัย ซึ่งต่อมาพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒๕ แห่งกรุงศรีอยุธยา

จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญอย่าง คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ได้มีการกล่าวถึงรูปแบบพระราชพิธีลงสรงเจ้าฟ้า และพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าตามอย่างโบราณราชประเพณีครั้งกรุงศรีอยุธยา หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐ ยังมีเจ้านายชั้นสูงพระองค์หนึ่งยังดำรงพระชนม์ชีพ มาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพินทวดี พระราชธิดาในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ประสูติแต่กรมหลวงพิพิธมนตรี พระองค์ทรงเป็นพระเชษฐภคินีในพระเจ้าอุทุมพร และพระเจ้าเอกทัศ สันนิษฐานว่าครั้งเสียกรุงคงจะเชิญเสด็จลงมาที่กรุงธนบุรีด้วยกัน ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดให้ประทับในพระราชวังเดิม กรุงธนบุรี และทรงอุปการะยกย่องเป็นอันดี เจ้าฟ้าหญิงพินทวดีจึงทรงเป็นผู้แนะนำเรื่องราชประเพณี และการในรั้ววังต่างๆ จนกระทั่งหมดสมัยกรุงธนบุรี

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงเชิญเสด็จมาประทับในพระบรมมหาราชวัง และได้ทรงเป็นผู้ริเริ่มให้มีการรื้อฟื้นพระราชพิธีโสกันต์แบบเต็มตำรา ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีครั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นมาอีกครั้ง โดยสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ได้รับพระมหากรุณาให้มีการพระราชพิธีโสกันต์แบบเต็มตามตำรา และได้มีการสืบทอดแบบแผนการพระราชพิธีโสกันต์ต่อเนื่องกันมาอีกหลายยุคหลายสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์ จวบจนครั้งสุดท้ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้มีพิธีเกศากันต์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ก่อนที่พระราชพิธีนี้จะถูกยกเลิกไป หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕

จากนั้นเป็นการสาธิตการแต่งกายในพระราชพิธีโสกันต์ ที่จำลองมาจากพระราชประเพณีโบราณประกอบการบรรยาย โดย อาจารย์ วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ประธานกลุ่มจันทร์โสมา จังหวัดสุรินทร์ ร่วมบอกเล่าถึงการสืบสานประเพณีโกนจุกที่ครอบครัวยังคงอนุรักษ์ไว้จนปัจจุบัน ซึ่งนอกจากเป็นเรื่องคติความเชื่อแล้ว ยังเป็นการผสานเรื่องของสรีระศาสตร์ไปในตัว

“เด็กแรกเกิดจะมีชิ้นส่วนกะโหลกมากมายที่ต้องใช้เวลาในการค่อยๆ ประสานให้เป็นชิ้นเดียว ดังนั้นเมื่อเป็นทารกกะโหลกจะมีช่องว่างอยู่บริเวณค่อนมาทางด้านหน้าของศีรษะ เรียกว่า กระหม่อม ซึ่งเป็นจุดที่เปราะบางที่สุดในชีวิต และจะปิดสนิทตั้งแต่อายุ ๒ ขวบ ถึง ๒ ขวบครึ่ง ถึงจะพ้นขีดอันตรายของชีวิต ดังนั้นการไว้จุกตั้งแต่แรกเกิด โดยเส้นผมในบริเวณที่ไว้จุกจะช่วยทำให้บริเวณกระหม่อมมีความอบอุ่น และป้องกันให้ปลอดภัยจากการกระทบกระเทือน อันที่จริงการไว้จุกเป็นเรื่องสรีระของมนุษย์ แต่ต่อมาได้พัฒนาเป็นพิธีกรรม และกลายเป็นเรื่องของคติความเชื่อในภายหลัง”

อ. วีรธรรม กล่าวว่า “การเกล้าพระโมลี (เกล้าจุก) ของพระบรมวงศานุวงศ์ในแบบราชสำนักโบราณจะเกล้าอย่างสวยงามประดับประดาด้วยดอกไม้และเครื่องประดับผมที่สวยงามมาก โดยจะมีการกันไรพระเกศาเป็นขอบขาวรอบบริเวณพระโมลี เมื่อหลังจากเกศากันต์ (โกนจุก) แล้ว บริเวณของไรพระเกศาที่กันไว้จะปล่อยยาวเป็นทรงผมต่างๆ

“สำหรับเครื่องแต่งกายที่ใช้ในพระราชพิธีโสกันต์ ในส่วนของ “ภูษาพัสตราภรณ์” ประกอบด้วย ฉลองพระองค์พระกรน้อย เป็นเสื้อแขนยาวที่เป็นการแต่งลำลองอย่างไม่เต็มยศ สำหรับพิธีฟังพระสวดในวันแรก โดยในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระพันปีหลวง (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) โปรดให้สร้างฉลองพระองค์พระกรน้อย สำหรับพระราชทานเจ้านายระดับชั้นเจ้าฟ้า เป็นผ้าแพรเขียนทองซึ่งปัจจุบันเก็บไว้ในราชสำนักทุกชิ้น มีกระดุมเป็นนพเก้าล้อมเพชร

“จากนั้นจะเป็นพิธีสรงน้ำ ก็จะเป็นฉลองพระองค์ที่ทำด้วยผ้าขาว ขลิบทองคำ เรียกว่า ฉลองพระองค์ถอด จากนั้นจึงจรดพระกรรไกร กรรบิด (กรรไกรและมีดโกน) ตัดพระเกศา สรงน้ำ โดยยังทรงเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ครบ หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็น ฉลองพระองค์ครุยกรองทอง ทรงพระภูษาจีบหน้า ส่วนผ้าอีกชิ้นหนึ่งที่นำมาใช้ คือ เจียระบาด (ผ้าคาดเอว มีชายห้อยลงที่หน้าขา) สำหรับเจ้านายจะเป็นผ้าชั้นดี มีการประดับตกแต่งด้วยวัสดุมีค่า ไม่ว่าจะเป็นตาบปักด้วยทองแล่ง และเลื่อมอย่างงดงาม สำหรับภูษาที่ใช้นุ่งเป็นแบบจีบโจงไว้หางหงส์

“ต่อมา คือ สนับเพลา หรือ กางเกง ซึ่งสมัยก่อนอาจใช้เป็นการพันผ้า แต่ต่อมาทำสำเร็จรูปเย็บเป็นรูปกางเกง ส่วน ฉลองพระบาท เป็นรองพระบาทเชิงงอน หรือรองพระบาทธรรมดาแบบรองเท้าแตะ โดยราชสำนักจะออกแบบและใช้วัสดุตามระดับพระยศ อาทิ ฉลองพระบาทที่ทำจากผ้ากำมะหยี่ สลักดุนทองคำ พื้นเป็นหนังแล้วลงยาลวดลายต่างๆ หรือฉลองพระบาท ที่สั่งมาจากต่างประเทศแล้วนำมาตกแต่งใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมี “ถนิมพิมพาภรณ์” ประกอบไปด้วย ข้อพระกร แหวนรอบ (หรือในราชสำนักเรียกว่า พระธำมรงค์ร้อยผูกข้อพระกร) แหวนตะแคง (หรือในราชสำนักเรียกว่า พระธำมรงค์ข้อมะขาม ผูกข้อพระกร) กำไล ข้อพระกรเถา สังวาลย์ สายรัดพระองค์ และข้อพระบาท”

นับเป็นพระราชพิธีโบราณที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่มรวยของวัฒนธรรม และประเพณีอันงดงามของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และถือเป็นมรดกของชาติที่ควรสืบสานไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป

ขอเชิญประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมหลากหลายที่
พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับผ้าไทย ผ่านวัฒนธรรมประเพณีอันทรงคุณค่า โดยสามารถติดตามรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ www.qsmtthailand.org
หรือ ติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ทางเฟซบุ๊กของพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ www.facebook.com/qsmtthailand
สอบถามเพิ่มเติมที่โทร : ๐๒-๒๒๕-๙๔๒๐, ๐๒-๒๒๕-๙๔๓๐ ต่อ ๐ หรือ ๒๔๕

You may also like...