กำเนิดภาพยนตร์ไทยพากย์

กำเนิดภาพยนตร์ไทยพากย์ แต่เดิมมาการฉายภาพยนตร์ในสยามไม่มีการพากย์ใดๆในสมัยภาพยนตร์เงียบ ทางโรงภาพยนตร์จะจัดพิมพ์ใบปลิวซึ่งแจ้งโปรแกรมฉายภาพยนตร์และเล่าเรื่องย่อเป็นภาษาไทยและจีน ต่อมามีการตีพิมพ์เรื่องย่อภาพยนตร์ตามหน้าหนังสือพิมพ์กระทั่งตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ออกจำหน่ายด้วย ในปี ๒๔๗๑

นายต่วน ยาวะประภาษ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของบริษัทภาพยนตร์พัฒนากร ซึ่งเป็นกิจการโรงภาพยนตร์รายใหญ่ของสยามในเวลานั้น ได้คิดจัดให้มีเจ้าหน้าที่บรรยายเรื่องยืนอยู่ข้างๆจอภาพยนตร์ขณะกำลังฉาย เพื่อคอยแปลข้อความตัวอักษรบนจอจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยโดยตะโกนผ่านโทรโข่งที่ถืออยู่ในมือ ปรากฏเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมภาพยนตร์

ปี ๒๔๗๔ มีภาพยนตร์เงียบของอินเดียเรื่อง “รามเกียรติ์” ตอน หนุมานเผาลงกา เข้ามาฉาย “ทิดเขียว” หรือ นายสิน สีบุญเรือง ซึ่งขณะนั้นทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายภาพยนตร์คนหนึ่งของบริษัทภาพยนตร์พัฒนากร ได้คิดนำเอาวิธีการพากย์โขนของไทยมาใช้ในการบรรยายภาพยนตร์เรื่องนี้ ปรากฏว่าเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง และนับจากนั้นมาคำว่า พากย์ภาพยนตร์ ก็เกิดขึ้น เมื่อภาพยนตร์เสียงในฟิล์มเข้ามาฉายแพร่หลายในสยามจนแทนที่ภาพยนตร์เงียบหมดสิ้นแล้ว การพากย์ภาพยนตร์เงียบก็พัฒนามาเป็นการพากย์เสียงภาษาไทยให้ภาพยนตร์เสียงในฟิล์มที่มาจากต่างประเทศ เพราะผู้ชมชาวสยามส่วนมากไม่สามารถเข้าใจภาษาพูดในภาพยนตร์ “ทิดเขียว” นั้นเองเป็นผู้ริเริ่มพากย์ภาพยนตร์เสียง เรื่องแรกที่พากย์คือ ภาพยนตร์ฝรั่งเรื่อง “อาบูหะซัน” เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๔๗๖ โดยพากย์เป็นคณะ ชายพากย์เสียงชาย หญิงพากย์เสียงหญิง การพากย์เสียงภาษาไทยให้แก่ภาพยนตร์เสียงต่างประเทศ ได้รับความนิยมและเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นอาชีพใหม่อีกอย่างหนึ่งในวงการภาพยนตร์ของสยาม โรงภาพยนตร์ทั่วประเทศต้องกั้นห้องเฉพาะสำหรับนักพากย์คู่กับห้องฉายเสมอ และเวลานั้นนักพากย์ไม่ต้องยืนโก่งคอพากย์ผ่านโทรโข่งอยู่ข้างจออีกต่อไป แต่นั่งพากย์ใส่ไมโครโฟนผ่านเครื่องขยายเสียงกระจายออกทางลำโพงดังลั่นไปทั่วโรง การเกิดขึ้นของการพากย์ภาพยนตร์ เป็นผลให้กิจการสร้างภาพยนตร์เรื่องบันเทิงของไทย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี ๒๔๗๐ ในแบบภาพยนตร์เงียบ ได้พัฒนาแยกออกเป็นสองแบบหรือสองสาย คือสายหนึ่งเป็นการสร้างภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม ซึ่งคณะพี่น้องวสุวัตเป็นผู้บุกเบิกพัฒนา ส่วนอีกรายหนึ่งคือการสร้างภาพยนตร์ไทยพากย์ ผู้สร้างภาพยนตร์ไทยรายอื่นๆ ซึ่งเคยสร้างภาพยนตร์เงียบมาก่อน นอกจากคณะพี่น้องวสุวัต ได้หันมาสร้างภาพยนตร์ไทยพากย์ซึ่งในทางปฏิบัติก็คือ ยังคงถ่ายทำอย่างภาพยนตร์เงียบ ไม่มีการบันทึกเสียงประกอบอื่นๆ ขณะฉายในโรง การสร้างภาพยนตร์พากย์จึงใช้ทุนรอนและวิธีการถ่ายทำถูกกว่าและง่ายกว่าภาพยนตร์เสียงมาก

ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้สร้างภาพยนตร์ไทยพากย์เกิดขึ้นมากมาย และปรากฏว่าภาพยนตร์ชนิดพากย์นี้เป็นที่นิยมของผู้ชมระดับที่เรียกว่าชาวบ้านร้านตลาด เรื่องที่นำมาสร้างกันก็มักจะเป็นเรื่องนิทานพื้นบ้าน วรรณคดีที่รู้จักกันดี หรือนิยายยอดนิยม บริษัทหรือผู้สร้างภาพยนตร์ไทยพากย์ในระยะแรกที่สำคัญได้แก่ บริษัททหัสดินทรภาพยนตร์ ของ ม.ร.ว.อนุศักดิ์ หัสดินทร์ ผลงานสำคัญเช่น “ระเด่นลันได” (๒๔๗๘) “แม่นาคพระโขนง” (๒๔๗๙) บริษัทศรีบูรพาภาพยนตร์ ผลงานสำคัญเช่น “โมรา” (๒๔๗๘) “ลูกกำพร้า” (๒๔๘๑) “ยอดเมียรัก” (๒๔๘๒) “สามหัวใจ” (๒๔๘๒) บริษัทกรุงเทพภาพยนตร์ สร้างเรื่อง “พระร่วง” (ขอมดำดิน) (๒๔๘๐) บริษัทบูรพาศิลป ของนายเทียน ศรีสุพรรณ ผลงานสำคัญเช่น “กุหลายเชียงใหม่” “กุหลาบสวรรค์” กุหลาบพระนคร” (ออกฉายระหว่าง ๒๔๗๙-๒๔๘๐) บริษัทละโว้ภาพยนตร์ ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลกร สร้าง “หนามยอกหนามบ่ง” (๒๔๗๙) บริษัท น.น.ภาพยนตร์ ของนายบำรุง แนวพานิช สร้าง “ขุนช้างขุนแผน” ภาค ๑ และ ๒ และเรื่อง “ดงตาล” ออกฉายปี ๒๔๗๙ ต่อมาบริษัทนี้พยายามพัฒนาไปสร้างภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม สร้างโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงขึ้นที่ย่านวงเวียนใหญ่ธนบุรี สามารถสร้างโรงภาพยนตร์เสียงออกมาได้เรื่องหนึ่ง คือ”ปิดทางรัก” ออกฉายปี ๒๔๘๐ แต่เนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์จึงยุติการสร้างภาพยนตร์เสียงไว้เพียงเท่านั้น เมื่อเกิดภาวะขาดแคลนฟิล์มภาพยนตร์ เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มอุบัติขึ้นในยุโรปตั้งแต่ปี ๒๔๘๒ ผู้สร้างภาพยนตร์ไทยพากย์บางรายได้หันมาใช้ฟิล์มขนาดเล็ก ๑๖มิลลิเมตร ซึ่งใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายในหมู่นักสร้างภาพยนตร์สมัครเล่นและยังพอหาซื้อได้ ผู้สร้างรายแรกที่ใช้ฟิล์ม ๑๖ มิลลิเมตร มาสร้างภาพยนตร์ไทยพากย์คือ นายเลื่อน พงษ์โสภณ เรื่อง “เมืองทอง” ออกฉายปี ๒๔๘๐ ต่อมา นายบุญชอบ อ่องสว่าง ในนามไตรภูมิภาพยนตร์ ก็สร้างภาพยนตร์ไทยพากย์เรื่อง “สามปอยหลวง” โดยใช้ฟิล์มภาพยนตร์ ๑๖ มิลลิเมตรระบบสีธรรมชาติซึ่งเพิ่งเกิดขึ้น ออกฉายปี ๒๔๘๓ ปรากฏว่าได้รับความสำเร็จอย่างยิ่ง เป็นตัวอย่างให้ผู้สร้างรายอื่นๆ ทำตามอย่างบ้าง ด้วยการคลี่คลายเช่นนี้เอง กลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์ไทยพากย์ จึงยังคงสามารถผลิตผลงานออกป้อนตลาดสม่ำเสมอแม้แต่ในระยะที่ประเทศไทย (ซึ่งเปลี่ยนชื่อจาก สยาม ตั้งแต่ปี๒๔๘๓) กำลังกลายเป็นยุทธภูมิ ตั้งแต่ระยะปลายปี ๒๔๘๕ จนถึงปี ๒๔๘๘ ผู้สร้างกลุ่มนี้ยังสามารถสร้างภาพยนตร์ไทยพากย์ออกมาให้ความบันเทิงแก่ชาวไทยได้บ้างประปราย เว้นแต่ในระยะปลายสงคราม ซึ่งกรุงเทพฯถูกโจมตีทางอากาศหนัก ไฟฟ้าดับ กิจการโรงภาพยนตร์สะดุดหยุดลงโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ดี กล่าวได้ว่าในช่วงเวลาระหว่างปี ๒๔๗๕ จนกระทั่งเกิดสงคราม เป็นช่วงเวลาที่กิจการสร้างภาพยนตร์ไทยเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพยนตร์เสียงหรือภาพยนตร์พากย์ นับได้ว่าเป็นยุคทองของภาพยนตร์ไทย

You may also like...