ผู้หญิงในจิตรกรรมฝาผนังไทย

ผู้หญิงในจิตรกรรมฝาผนังไทย โดยอเล็ค กอร์ดอน
ความรักไม่จำเป็นต้องถูกแสดงด้วยภาพการร่วมประเวณีเสมอไป และการมีเพศสัมพันธ์อาจจะเป็นหรืออาจจะไม่ใช่เครื่องหมายของความรักก็ได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวนี้สามารถที่จะแยกแยะจากกันได้อย่างชัดเจน

และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงภาพของความรักได้อย่างแจ่มชัด ดังตัวอย่างจาก วัดคงคาราม จังหวัดเพชรบุรี (ประมาณ พ.ศ. 2323) ที่สะดุดตาอย่างยิ่ง ภาพชายหญิงคู่หนึ่งถูกวาดปรากฏอยู่ในหมู่กองทัพของพญามารที่กำลังถูกพัดพาไปในกระแสน้ำที่ไหลท่วม พวกเขากำลังยึดเกาะกันและต่างฝ่ายต่างช่วยกันพยุงตัว ในท่ามกลางรูปที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวดุร้าย พวกเขากลับแสดงความเป็นมนุษย์ที่มีความอ่อนโยน ในวัดเดียวกัน จิตรกรรมอีกภาพหนึ่งแสดงภาพชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเล้าโลมกันด้วยความรักอยู่ภายในบ้าน ส่วนอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความรักปรากฏอยู่ในภาพที่วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน

บทความที่น่าสนใจบทหนึ่งโดย ประสิทธิ์ จิตรามาศ ชื่อ “เพศ : เส้นเลือดของศิลปะและกวีนิพนธ์” กล่าวถึง เพลง การร่ายรำ บทกวี และละคร แต่ไม่ได้อ้างถึงจิตรกรรมฝาผนังอย่างเฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ดี เนื้อหาของบทความดูเหมือนจะเข้ากันได้กับจิตรกรรมฝาผนังด้วย เพราะในชีวิตจริงความสัมพันธ์ทางเพศมักจะถูกแสดงออกตามธรรมชาติและเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉากหนึ่งจากจิตรกรรมที่วัดเกาะบางพูด ในกรุงเทพฯ (ปลายพุทธศตวรรษที่ 24) นับเป็นตัวอย่างที่ดี การบรรยายภาพในลักษณะที่คล้ายคลึงกันจำนวนมากก็มีปรากฏอยู่ในฉากชีวิตประจำวันในจิตรกรรมฝาผนังแห่งอื่นๆ โดยมาก (แม้จะไม่เสมอไป) มักเป็นภาพที่บรรยายฉากที่เป็นเรื่องทางเพศอย่างมีอารมณ์ขัน ฉากเรื่องเพศดังกล่าวนี้ไม่สอดคล้องเสมอไปกับเนื้อเรื่องที่มีความเคร่งขรึมเป็นจริงเป็นจังซึ่งเป็นประธานของภาพ ภาพเหล่านี้กลมกลืนกันไปอย่างไม่เสแสร้งเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในฉากของชีวิตจริงที่ปรกติจะอยู่ในส่วนพื้นที่ของภาพกาก แต่ก็ไม่จำกัดเฉพาะในส่วนนี้เท่านั้น ภาพเหล่านี้ยังปรากฏอยู่ในบางฉากที่เป็นเรื่องของเจ้า และในฉากมารผจญเช่นเดียวกับจิตรกรรมของประเทศอื่นๆอีกมาก ความสัมพันธ์ทางเพศปรากฏอยู่ในส่วนหนึ่งของฉากทั้งหมดในภาพ ซึ่งเราอาจอภิปรายกันถึงเรื่องนี้ได้โดยมิต้องเน้นจนเกินควร และโดยมิต้องยุ่งยากลำบากใจเหมือนกับว่ามันเป็นเช่น การหุงหาอาหาร

อย่างไรก็ตาม ผู้ทรงคุณวุฒิทางจิตรกรรมฝาผนังบางท่านเลี่ยงที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างธรรมดาสามัญด้วยการบิดเบือนเรื่องนี้ บางคนอาจถึงกับสงสัยว่ามีการสมยอมคบคิดกัน โดยคนบางคนที่ทำให้มีการละเลยหรือถึงกับปฏิเสธการมีอยู่ของความสัมพันธ์ทางเพศในจิตรกรรม ฝาผนัง หนังสือเล่มหนาและดีเยี่ยมของเวนค์ ( Klaus Wenk) แทนที่จะระบุรายละเอียดทั่วไปของการอธิบายภาพที่แสดงฉากดังกล่าวในจิตรกรรมฝาผนังกลับกล่าวถึงเพียงแค่ว่าเป็นเรื่องเพศริงกิส (Rita Ringis) ก็สนใจเฉพาะกับแง่มุมของทฤษฎีทางศาสนา ในหนังสือของโบเซอลิเย่ร์ (Jean Borssilier) เล่มที่เป็นหนังสือดีเยี่ยมในด้านอื่นๆได้ปล่อยให้การปรากฏอยู่ของเรื่องนี้หลุดไป เมื่อเขาอ้างว่า ฉากเกี่ยวกับเรื่องทางเพศที่เด่นชัดภาพหนึ่งในจิตรกรรมรัตนโกสินทร์ที่วัดหน้าพระธาตุ ( ปักธงไชย) เป็นงานที่พิเศษยอดเยี่ยมต่างไปจากงานอื่นในประเพณีของจิตรกรรมฝาผนังไทย เขาให้ความเห็นว่า ” ศิลปะไทยและวรรณคดีไม่ได้ยกเอาปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศมากล่าวถึง ยกเว้นแต่จะทำด้วยความสุขุมระมัดระวังอย่างยิ่ง” และพิจารณาเห็นว่า นี่เป็นตัวอย่าง ” ที่น่าชมอย่างยิ่ง” ด้วยเหตุเช่นนี้

มีงานเขียนระดับมาตรฐานเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาจำนวนน้อย เช่น ผลงานของ สันติ เล็กสุขุม กมล ฉายาวัฒน์ และวรรณิภา ณ สงขลา ยังดีที่ผลงานเหล่านี้ไม่บิดเบือนตามแบบดังกล่าวมา ผู้เขียนกลุ่มนี้แสดงภาพประกอบที่มีฉากเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ทำโดยปราศจากการแสดงความคิดเห็น การเว้นไว้ซึ่งความคิดเห็นไม่ได้ช่วยแก้ไขการอธิบายที่ผิดของคนอื่นๆ ข้อเขียนชิ้นหนึ่งโดย สน สีมาตรัง ไม่ได้อภิปรายเรื่องเพศดังที่กล่าวมา แต่ได้เขียนไว้สั้นจนเกินไป และปรากฏอยู่ในสิ่งตีพิมพ์ที่ไม่เป็นเอกสารวิชาการ ( หมายความว่า นักวิชาการที่ต้องการอ้างอาจทิ้งเอกสารนี้ไปได้) ยิ่งกว่านั้น เขายังตั้งข้อสังเกตในบางกรณีที่ทำให้ผู้อ่านหลงทางได้ เช่น “ตำแหน่งของฉาก ( เรื่องเพศ : ผู้แปล) ที่ปรากฏจะไม่เป็นการดึงความสนใจของผู้ชมไปจากเรื่องที่เป็นประธาน” ในหลายกรณี ข้อความนี้มีความถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันก็มีตัวอย่างมากพอที่จะระบุว่าข้อความนี้ยังไม่ถูกต้องและไม่ใช่ข้อความที่ใช้อ้างได้โดยทั่วไปในทุกกรณี

การอธิบายบทบาทของเรื่องเพศหรือกามกิจในจิตรกรรมฝาผนังที่ถูกบิดเบือนไปเป็นสิ่งที่มีความหมาย เพราะนี่ไม่เพียงแต่จะสร้างความคลุมเครือแก่การแสดงความสัมพันธ์ทางเพศในรูปแบบต่างๆ ( อาทิเช่น การเกี้ยวพา การบอกรัก การร่วมเพศ การค้าประเวณี และการข่มขืน) แต่นี้ยังเป็นการกีดกั้นการศึกษาวิเคราะห์ในด้านที่สัมพันธ์กับบริบททางสังคมของพฤติกรรมทางเพศ อาทิเช่น แบบแผนประพฤติปฏิบัติทางเพศบางประการที่กำหนดว่ามีความด่างพร้อยหรือมีมลทิน ซึ่งทำให้เกิดทัศนคติด้านลบที่นำไปสู่ความอยุติธรรมในการปฏิบัติต่อผู้หญิงและการลงโทษต่อผู้หญิง

ในขณะที่ฉากกิจกรรมทางเพศจำนวนมากถูกวาดหลบอยู่ในมุมต่างๆ แต่อีกจำนวนมากก็ค่อนข้างที่จะเห็นเด่นชัด ข้าพเจ้าได้กล่าวบ้างแล้วถึงความขุ่นเคืองพระทัยของรัชกาลที่ 4 ที่ทรงมีต่อการดึงดูดความสนใจของภาพที่แสดงเรื่องทางเพศที่ปรากฏอย่างเด่นชัดอยู่ในวัดหลวงแห่ง หนึ่ง อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน (ปัจจุบันลบเลือนไป) เป็นภาพขนาดใหญ่ของกลุ่มผู้หญิงในเรือนของเจ้าบ้านผู้สูงศักดิ์ที่วัดพุทไธสวรรค์ จังหวัดอยุธยา แม้จะยังคงเห็นได้ด้วยการพินิจพิเคราะห์ แต่ภาพก็ถูกลบเลือนไปจนไม่อาจมองเห็นได้จากภาพถ่ายแล้วในขณะนี้

เราลองมาพิจารณาถึงตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดในจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาที่วัดช่องนนทรี ซึ่งได้อ้างถึงมาบ้างแล้ว แม้ว่าเรื่องที่เป็นประธานที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าจะเป็นภาพ วิรุณ บัณฑิต ถูกลักพาตัวไปโดยยักษ์ ปันถะ แต่อย่างน้อยก็มีภาพที่แสดงเรื่องเพศอยู่ 2 ภาพ ที่มีความโดดเด่นเท่าเทียมกันรวมอยู่ด้วย ภาพที่อยู่ต่ำกว่าดูน่าขันมาก เป็นฉากการตำข้าวซึ่งแสดงถึงการเตรียมการที่จะเกี้ยวพาประกอบอยู่ด้วย อารมณ์ขันนั้นค่อนข้างหยาบโลน แต่ก็แสดงถึงความผลิบานของความสัมพันธ์ทางเพศที่เต็มไปด้วยความรื่นรมย์และความเสน่หา แม้ว่าจะมีสิ่งรบกวนจากภายนอกในรูปของเด็กๆที่กำลังมาแกล้งแทรกเข้ามาเป็นการสร้างอารมณ์ขันก็ตาม ส่วนภาพที่อยู่สูงขึ้นไปก็มีสีสันที่แตกต่างออกไป ภาพที่ปรากฏแสดงให้เห็นเป็นบางส่วนของฉากร่วมเพศกันเป็นหมู่ ชายหญิงที่เข้าร่วมด้วยคู่หนึ่งกำลังทำกิจอยู่ บางคนกำลังพัก บางคนกำลังเฝ้าชม ขณะที่หญิงคนหนึ่งดูเหมือนจะเหน็ดเหนื่อยและแสดงอาการท้อแท้ หดหู่ เสื้อผ้าที่ปกปิดบางส่วนหลุดลุ่ย และโซเซกระเซอะกระเซิงออกมาจากประตูของอีกห้องหนึ่ง หญิงสาวอีกคนที่แต่งกายอย่างประณีตกำลังชี้ไปที่เธออย่างตำหนิติเตียนในความประพฤติของหญิงผู้นั้น

หนังสือเล่มหนึ่งที่พิมพ์เผยแพร่ภาพที่วัดช่องนนทรีอย่างดีและมีภาพประกอบจำนวนมากอภิปรายถึงฉากนี้อย่างกว้างขวางด้วยคำอธิบายเพื่อช่วยให้เราเข้าใจถึงสถาปัตยกรรมสมัย อยุธยา มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และด้วยความอึกอักในท่าทีที่ค่อนข้างละอายที่จะยอมรับว่า มีฉากเรื่องเพศปรากฏอยู่ ( ในภาพขยายใหญ่บนปกหน้าของหนังสือเล่มนี้ได้ตัดเอาฉากเรื่องเพศทั้งสองออกไป และในภาพขยายใหญ่หน้า 75 ของหนังสือก็ตัดบางส่วนของฉากด้านบนออก) อาจจะเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่า ในประเทศอื่นๆก็ปฏิบัติกันเช่นนั้น หรือพูดว่านี้เป็นเรื่องปรกติที่ไม่ต้องการการแสดงความคิดเห็น อันที่จริงแล้ว อาจไม่มีความจำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นใดๆต่อไปอีกหากในเบื้องต้นไม่มีความพยายามใดๆที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของเราออกไปจากเรื่องนี้ โดยทั่วไปแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องดังกล่าวนี้ผู้เขียนจำนวนมากจะสับสนและถูกจำกัดโดยทัศนคติส่วนตัวของเขาเองด้วยความกระดาก หรือด้วยความเขินอาย และด้วยทัศนคติหรือความเดียดฉันท์ของพวกเขาเช่นนี้จึงแทนที่จะใช้หลักเกณฑ์ทางวิชาการสุนทรียศาสตร์หรือการตัดสินทางประวัติศาสตร์เข้ามากำหนดการวิเคราะห์ของพวกเขา เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่ามันอาจเกิดขึ้นในคนรุ่นก่อน แต่อย่างน้อยมันจะต้องถูกปฏิเสธในแง่ที่เป็นเรื่องทางวิชาการที่เลวและผิดทาง ส่วนในเรื่องที่ว่าเราหลงทางกันได้สักเพียงใดนั้นจะอภิปรายต่อไปว่า ฉากทางสังคมจากงานจิตรกรรมฝาผนังที่โดดเด่นภาพหนึ่งไม่อาจถูกยกขึ้นอภิปรายถกเถียงกันได้เลย หากเราไม่อาจยอมรับอย่างเปิดเผยถึงธรรมชาติทางเพศ (ที่มีอย่างโจ่งแจ้ง) บางประการที่เกิดขึ้น มีความไม่เท่าเทียมที่กระทำต่อผู้หญิงในสังคมไทย ในด้านความแตกต่างของการลงโทษผู้ประพฤติผิดทางเพศที่ถูกกำหนดขึ้นอย่างชัดเจนจนเป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงดังกล่าวแทรกซึมอยู่ในจิตสำนึกอย่างกว้างขวางเพียงใดนั้น เป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังน้อยมาก ฉะนั้น งานจิตรกรรมที่น่าสนใจภาพหนึ่งที่วัดคงคาราม ( บางส่วนถูกวาดทับภายหลัง) จึงเหมาะแก่การศึกษาอย่างละเอียด ฉากที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเป็นตอนหนึ่งในมโหสถชาดก เรื่องดำเนินไปจากฉากกองทัพบุกตีเมืองของพระเจ้าจุฬามณีซึ่งเป็นฉากที่รู้จักกันดี ภาพที่เห็นแม้ส่วนมากจะถูกทำลายหรือลบเลือนไป แต่ตามเรื่องดูเหมือนว่าภาพที่เหลือจะเป็นฉากครอบครัวของพระเจ้าจุฬามณีกำลังหลบหนีเข้าไปในอุโมงค์ อย่างไรก็ตาม ภาพที่ดีเยี่ยมที่สุดของฉากนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท้องเรื่อง

เราจะเห็นภาพบรรยายถึงหญิงชาววัง 2 คน (หรืออาจจะมากกว่า) แต่ไม่ใช่เจ้าหญิงถูกชักลอยขึ้นไปแขวนอยู่ในสาแหรก ข้าพเจ้าไม่อาจยอมรับการตีความของ น.ณ ปากน้ำ ในการแสดงความเห็นสั้นๆต่อภาพที่มีขนาดใหญ่ และเป็นภาพที่แสดงกลุ่มเรื่องต่างๆอย่างมากในวัดแห่งนี้ ดังที่ว่า “ทหาร 2 คน กำลังตระกองเหล่านางสนม นางกำนัลออกจากประสาท” แต่อันที่จริง ลำดับของเหตุการณ์ที่ถูกวาดปรากฏเป็น 4 ขั้น อย่างชัดเจน ดังนี้

1. เหล่านางกำนัลถูกฉุดคร่าออกจากพระราชวังโดยทหาร 4 นาย
2. ในมุมเงียบด้านหนึ่งของกำแพงเมือง มีการฉุดคร่าที่เกิดขึ้นตามมาด้วยการร่วมเพศ ( หรือควรจะเป็นการข่มขืน) ที่ประกอบด้วย หญิง 2 คน กับทหาร 4 นาย ฉากนี้ค่อนข้างที่จะ ชัดเจนคงจะไม่ใช่ความตั้งใจของ น.ณ ปากน้ำ แต่ก็มีผู้ชมคนอื่นๆ หรืออาจจะเป็นผู้ที่อยู่ในวัดนั้นเองที่ตั้งใจและพยายามจะลบเอาเฉพาะส่วนของฉากนี้ ตรงที่มีภาพอวัยวะเพศออกไปเสีย
3. ลำดับต่อมา หญิง 2 คน ถูกปล่อยตัวออกมาโดยทหารที่ถืออาวุธ
4. ในลำดับสุดท้าย หญิง 2 คน ถูกชักขึ้นไปแขวนห้อยอยู่ (หรือ ชักสาแหรก)

ในฉากสุดท้ายน่าจะเป็นตัวอย่างของการชักสาแหรก การลงโทษแบบโบราณและการประจานผู้หญิงที่ถูกพบว่าฝ่าฝืนประเพณีที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ การลงโทษนี้เป็นวิธีการที่ใช้กับ ผู้หญิง และไม่ใช้กับผู้ชายที่เป็นคู่ของเธอที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด คำว่าชักสาแหรกเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนเก่าที่ยังคงใช้ตกทอดมา จนเมื่อไม่นานนี้เป็นคำที่ใช้กล่าวประณามหญิงผู้ดีบางคน ต่อมานัยของคำนี้ถูกปรับมาใช้ดูถูกหรือว่ากล่าวหญิงสาวที่เกียจคร้าน ( หรือทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง) ที่ประพฤติราวกับว่า เธอถูกนำใส่ตระกร้าแล้วชักขึ้นไปแขวนลอยอยู่ข้างบนห่างไกลจากโลกข้างล่างที่มีงานการต้องทำ นี่อาจเป็นวิธีการที่สืบทอดมาจากอดีตที่มีการชักใส่ตระกร้าจริงๆขึ้นไปประจานต่อสาธารณะ การประจานในลักษณะที่คล้ายคลึงกันนี้มีปรากฏอยู่ในประเทศแถบยุโรปบางประเทศ และบางครั้งเพศชายก็ถูกประจานต่อสาธารณะในลักษณะเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน ณ ฉากในจิตรกรรมฝาผนังนี้ก็เพศชายที่เป็นคู่นั้นเองที่เป็นผู้กระทำการลงโทษต่อผู้หญิง

พระสงฆ์รูปหนึ่งที่เป็นผู้นำชมของผู้เขียนอธิบายว่า นี่เป็นฉากที่แสดงบทลงโทษต่อผู้ล่วงละเมิดทางเพศ นี่เป็นความคิดเห็นที่แสดงออกนอกหน้าอย่างชัดเจน ภาพของการลงโทษเช่นนี้ คนบางคนอาจถึงกับพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็น เพื่อที่จะรักษาภาพของความถูกต้องเหมาะสมและจริยธรรม (ของเพศชาย) มิฉะนั้นอาจจะถูกทำให้เสื่อมลงได้ โดยข้อเท็จจริงที่ว่า จิตรกรรมฝาผนังในวัดนั้นเองที่เต็มไปด้วยการกระทบกระเทียบเปรียบเปรยในเรื่องทางเพศ ที่นี่มีภาพจำนวนมากมายที่สามารถนำไปตีพิมพ์ได้ แต่ผู้อ่านจะได้เห็นเพียงบางภาพเท่านั้นที่ถูกนำมาเผยแพร่ ( โดยปราศจากการแสดงความเห็น) ในหนังสือที่กล่าวมาแล้วข้างต้นโดย น.ณ ปากน้ำ ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ความรังเกียจเดียจฉันท์ของนักเขียนบางคนส่งผลในการหลบเลี่ยงความหมายของเรื่องทางเพศในจิตรกรรมฝาผนัง ในตัวอย่างดังที่ยกขึ้นมาอภิปรายนี้แสดงถึงการไร้ความสามารถในการศึกษาวิเคราะห์ให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันในการทำให้เกิดมลทินทางสังคมต่อผู้หญิงที่นำไปสู่การตำหนิติเตียนและความเสื่อมเสีย …

บทสรุป การศึกษาที่มีการเริ่มต้นไว้แล้วและสืบทอดกันมาต้องได้รับการยอมรับ การศึกษาของข้าพเจ้าได้ทำตามลำดับขั้นของเวลาเริ่มต้นจากจิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุด**** หมายความว่า สิ่งที่เป็นข้อมูลนำมาเสนอนี้มีที่มาเบื้องต้นจากงานในสมัยอยุธยา ซึ่งโชคดีที่ยังมีงานจิตรกรรมฝาผนังจำนวนเป็นร้อยหลงเหลือให้ศึกษา นอกจากนี้ การศึกษาเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังสมัย รัตนโกสินทร์มีอยู่แล้วมากมาย ซึ่งไม่น่าสงสัยเลยว่า เป็นการเตรียมข้อมูลไว้ให้อย่างมั่งคั่ง

จากการวิเคราะห์ของข้าพเจ้าถึงจุดนี้ คงสรุปได้ว่า สิ่งที่เชื่อกันอยู่ในปัจจุบันบางประการเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของผู้หญิงตามประเพณีในอดีตอาจผิดพลาด**** หรืออย่างน้อยก็เป็นการลงความเห็นอย่างกว้างๆมากจนเกินไป ยิ่งกว่านั้นมีความชัดเจนว่า การละไว้ซึ่งการศึกษาฉากที่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศในจิตรกรรมฝาผนังส่งผลอย่างกว้างขวางต่อความล้มเหลวในการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิง ที่ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่จากแหล่งข้อมูลอันมีคุณค่า พอๆกับการสร้างภาพบางประการที่บิดเบี้ยวไปจากความจริงของสถานะของผู้หญิงในสังคมไทย

จักรพันธ์ วิลาสินีกุล : ผู้แปล

ตัดตอนแปลจาก Alec Gordon, “Women in Thai Society as Depicted in Mural Painting”, Traditional T’ai Arts in Contemporary Perspective, Bangkok , White Lotus, 1998, pp. 185-191.

You may also like...