ท่ามกลางสภาวะที่บ้านเมืองกำลังอยู่ภายใต้ความแตกแยกทางการเมือง หลายคนคงเคยถูกกดดันด้วยแนวคิดที่ว่า Enemy of my enemy is my friend ซึ่งแปลง่ายๆว่า เราอาจผูกมิตรเป็นเพื่อนกันชั่วคราวก็ได้ ถ้าศัตรูของเราเป็นคนเดียวกัน
แม้ว่าในช่วงเวลาปกติเราอาจไม่เคยนึกอยากเป็นเพื่อนกันสักเท่าไหร่ หรือาจจะแอบเหม็นขี้หน้ากันอยู่หน่อยๆก็ตาม ซึ่งก็คือการกดดันแกมบังคับกลายๆ ให้เราเลือกข้าง ถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งให้ชัดเจนกันไปเลย
สิ่งที่น่าอึดอัดใจที่สุดสำหรับคนที่ไม่นึกชอบหรือเกลียดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเป็นพิเศษ ก็คือเขามักจะโดนกลุ่มคนสองฝ่ายที่ขัดผลประโยชน์กัน มองว่าเขาเป็นคนของอีกฝ่ายหนึ่ง บ้างก็มองว่าเป็นนกสองหัว บ้างก็มองว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีจุดยืนทางการเมือง เป็นพวกไทยเฉย หรือไม่ก็มองว่า เป็นตาอยู่ รอให้พวกที่ทะเลาะกันตีกันให้เสร็จจนเห็นว่าใครเป็นฝ่ายชนะก็ขอเป็นพวกด้วย บ้างก็มองว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่มีความห่วงใยบ้านเมือง ห่วงแต่เสวยสุข ห่วงประโยชน์ส่วนตัว มีชีวิตหวานเย็นไปวันๆ ใครชวนไปชุมนุมล้มรัฐบาลไม่ว่าจะปิดสนามบินหรือเผาห้างก็ไม่ยอมไป ชวนไปเดินเทอดพระเกียรติก็ทำเฉย ชวนบริจาคทองเข้าวัดมาช่วยกู้ชาติก็ไม่บริจาค ชวนไปชุมนุมต้านเขื่อนก็ไม่ยอมต้าน ชวนใส่หน้ากากก็ไม่ยอมใส่ นานๆไปก็กลายเป็นคนไม่มีพวกพ้อง เพื่อนไม่รัก เพื่อนไม่คบ โดนด่าว่าเป็นสลิ่ม เป็นชนชั้นกลวง ไม่รักชาติ ไม่มีจิตสำนึกต่อส่วนรวม
การที่มนุษย์จำพวกที่ได้ชื่อว่า สลิ่ม หรือที่นักวิชาการเรียกว่า ไทยเฉย หรือชนชั้นกลวง ไม่ยอมแสดงตนว่าถือหางข้างไหนหรือไม่แสดงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนนี้ หากมองด้วยสายตาแบบโลกสวยก็คงมีเหตุปัจจัยอยู่หลายอย่าง แต่ถ้ามองโลกอย่างที่เป็นจริง คำตอบที่เขาทำเฉยก็คงไม่มีอะไรมาก นั่นก็คือ คนเหล่านี้ยังไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถึงที่สุด มีความพึงพอใจในบางอย่างที่ดำเนินอยู่ และสามารถทนได้กับบางอย่างที่ไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่พร้อมหรือกลัวการเผชิญหน้าที่จะต่อสู้เรียกร้องผลประโยชน์ให้กับตัวเองอย่างจริงจัง เพราะกลัวว่าจะต้องเสียในสิ่งที่เคยได้ และกลัวความเดือดร้อนที่เกิดจากการเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยกับศัตรูที่มีอำนาจมากกว่าทั้งอำนาจในทางด้านสว่างและอำนาจมืด
อย่างไรก็ดี ในหมู่คนที่เป็นสลิ่มหรือไทยเฉยเหล่านี้ ยังมีคนอีกพวกหนึ่งที่เลือกจะไม่ถือหางฝ่ายไหน เพราะมองว่า การสู้รบแย่งชิงอำนาจหรือความพยายามที่จะโค่นล้มกันของทั้งสองฝ่ายนั้น แท้จริงแล้วก็ไม่ได้มีอุดมการณ์อันใดลึกซึ้งไปกว่าการรักษาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง โดยอ้างความถูกต้องชอบธรรม ไม่ว่าจะเป็นหลักกฎหมาย คุณธรรม ศีลธรรม ต่างๆนานา ตามแต่จะขุดกันมาอ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ลึกๆก็เป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ฝ่ายตนทั้งสิ้น ซึ่งก็เป็นแก่นแท้ของคำว่าการเมือง ที่เป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ อันมีมายาวนานคู่ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และอาจจะมีมาตั้งแต่สมัยคนยังมีหน้าตาคล้ายลิงด้วยซ้ำ
การเมืองไม่ได้มีอยู่แค่ในสังคมมนุษย์ การต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์มีอยู่ทั้งในคน สัตว์ หรือแม้กระทั่งพืช ทุกชีวิตต่างก็ต้องแก่งแย่งแข่งขันเพื่อความอยู่รอดของตนเอง เพื่อเผ่าพันธุ์พวกพ้องของตัวเอง ต้นไม้ชนิดใดชอบดินแบบไหน ชอบอากาศแบบไหน ก็ขยายพันธุ์รวดเร็ว เติบโตกินพื้นที่กว้างขวาง แย่งพื้นที่ แย่งปุ๋ย แย่งน้ำ แย่งอากาศ ต้นไม้พันธุ์อื่นๆ ให้เล็กแกร็น สัตว์ชนิดใดแข็งแรงกว่าได้เป็นจ่าฝูง ก็มีอำนาจมากกว่า ได้กินส่วนแบ่งอาหารที่ดีกว่า เติบโตสมบูรณ์มากกว่า มีโอกาสผสมพันธุ์ขยายอาณาจักรหรือฝูงของตัวเองได้มากกว่า เมื่อใดที่มีสัตว์ตัวอื่นที่แข็งแรงเท่ากันหรือแข็งแรงกว่ามาแย่งผลประโยชน์ ก็มีการต่อสู้ฟาดฟันกันจนแพ้ชนะล้มตายกันไปข้างหนึ่ง สัตว์ตัวที่เป็นบริวารในฝูงหากไม่สนใจร่วมสู้รบ ก็เพียงแต่รอให้ตัวที่แข็งแรงแย่งกันเป็นจ่าฝูงกัดฟัดให้รู้แพ้รู้ชนะ ตัวไหนชนะ ตัวอื่นๆ ที่เหลือก็ไปสวามิภักดิ์ ยกย่องให้เป็นผู้นำตัวใหม่ และแน่นอนว่า ตัวผู้นำย่อมมีอำนาจสูงสุด ได้รับส่วนแบ่งที่ดีที่สุดเสมอจากการล่า แม้ตัวจ่าฝูงจะนอนเฉยๆไม่ได้ออกไปไล่ล่าเหยื่อเอง ก็มีสิทธิ์ได้กินก่อน ได้เลือกของดีก่อนใคร รวมถึงพวกพ้องหรือครอบครัวที่ใกล้ชิดจ่าฝูงก็พลอยได้รับสิทธิที่เหนือกว่าสมาชิกตัวอื่นๆ ตามไปด้วย
จ่าฝูงของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีวิธีรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องได้ด้วยวิธีที่ไม่แตกต่างกันไม่ว่าสายพันธุ์ไหนๆ นั่นก็คือจ่าฝูงและพวกพ้องของจ่าฝูงมักได้เป็นผู้สร้างกฎ และเป็นผู้ควบคุมกฎ ซึ่งแน่นอนว่า กฎที่สร้างขึ้นย่อมเกิดประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของกฎเสมอ เช่น นักบวชมักสร้างกฎหรือความเชื่อว่า การที่สาวกนำของมาปรนเปรอนักบวช คือการสั่งสมความดีงาม เพื่อผลประโยชน์ที่สาวกจะได้รับในภายภาคหน้า และในโลกหน้า เช่นเดียวกับชนชั้นผู้นำในทุกสังคมมักสร้างกฎให้ตัวเขาเองและพวกพ้องมีความเป็นอภิสิทธิชน โดยอาศัยการสร้างความเชื่อความศรัทธาว่าเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีความดีงามอย่างพิเศษ หรือมีบุญบารมีสูงส่งเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาสามัญทั่วไป
กฎที่สร้างขึ้นอาจจะเป็นกฎหมาย เป็นค่านิยม เป็นความเชื่อ ที่อาจส่งผ่านมาครอบงำสมาชิกของฝูงผ่านทางช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบอกต่อๆกันมาจากศูนย์กลางไปสู่ผู้คนรอบข้าง การโฆษณาชวนเชื่อ การหล่อหลอมโดยอาศัยการสร้างความเชื่อศาสนา วัฒนธรรม และการใช้ศิลปะแขนงต่างๆ เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย สถาปัตยกรรม ดนตรี วรรณกรรม ฯลฯ ศิลปะเหล่านี้ล้วนถูกใช้เป็นเครื่องมือกีดกันทางชนชั้นสำหรับผู้แสวงและผู้เสวยอำนาจทั้งสิ้น รวมไปถึงการหล่อหลอมหรือชี้นำความคิดผ่านระบบการศึกษา ที่ปลูกฝังให้คนทั้งหมดเชื่อว่า ความถูกต้องจะต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ตามที่ผู้มีอำนาจอยากให้เชื่อ เพราะเมื่อคนเชื่ออย่างที่เขาอยากให้เชื่อแล้ว ก็จะกำกับปกครองได้โดยง่าย
ทุกสังคมล้วนฝันถึงผู้นำหรือผู้สร้างกฎในอุดมคติเสมอ ว่าเขาควรจะเป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม กระทั่งเชื่อกันเป็นตุเป็นตะผ่านระบบการศึกษาว่า ความดีงามคือคุณลักษณะเด่นของผู้นำ ซึ่งไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ว่าจริง เป็นแต่เพียงความเชื่อที่คนอยากให้จริง ทั้งที่คุณสมบัติที่แท้จริงของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีกันมาทุกเผ่าพันธุ์คือความเหี้ยมโหดเลือดเย็น หิวกระหายและเสพติดในอำนาจ ความโลภโมโทสัน ความเห็นแก่ตัว กลับไม่มีใครยอมรับหรืออยากเอ่ยถึง และความจริงก็คือไม่ว่าผู้สร้างกฏจะมีความดีงามในจิตใจมากเพียงใด และออกกฎให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์ทั่วถึงใกล้เคียงกันมากเพียงใด สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ กฎที่เขาสร้างขึ้นมักจะทำให้เขาและพวกพ้องได้รับประโยชน์และมีอำนาจมากกว่าคนอื่นๆเสมอ เช่นเดียวกับสัตว์ตัวจ่าฝูงที่มักจะได้กินอาหารส่วนที่ดีที่สุดจากการล่า ซึ่งตราบใดที่ความเหลื่อมล้ำนี้อยู่ในระดับที่คนส่วนใหญ่ของสังคมยอมรับได้ ว่าเป็นราคาที่เขาต้องจ่ายเพื่อแลกกับความอยู่ดีมีสุขและความสบายใจที่ได้มีผู้ปกครองที่ดูแล้วเข้าท่าเข้าทางดี หรือเป็นจ่าฝูงที่สมาชิกส่วนมากยังชื่นชมศรัทธา สังคมภายใต้กฎกติกานั้นก็ยังคงดูเรียบร้อยดี แต่เมื่อใดก็ตามที่มีสมาชิกบางคนบางกลุ่มรู้สึกไม่พอใจกับผลประโยชน์ในสัดส่วนที่ตนเองได้รับจัดสรร รู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบ หรืออาจจะนึกอยากลองมีอำนาจเทียบเท่าชนชั้นผู้นำขึ้นมาบ้าง เมื่อนั้นก็จะเกิดความขัดแย้งไม่ลงรอย เกิดความกระด้างกระเดื่อง นำไปสู่การแก่งแย่งแข่งขัน มีการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกัน โดยใช้กลวิธีทุกประเภท ไม่เพียงการทำสงครามสู้รบอย่างเปิดเผย แต่อาจเป็นในรูปแบบของการชุมนุมเรียกร้องสิทธิทางการเมือง การแสวงหาระบอบลัทธิการปกครองแบบใหม่ การเสนอกฏหมายใหม่ การเรียกร้องให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ หรือแม้แต่การปฏิวัติรัฐประหาร ล้มล้างรัฐบาลหรือล้มล้างสถาบันชนชั้นปกครอง
และสิ่งที่เหมือนกันทุกครั้งไม่ว่าฝ่ายอำนาจเก่าหรือฝ่ายที่โค่นล้มอำนาจจะเป็นผู้ชนะ นั่นก็คือการเข้ามาจัดการดูแลอำนาจและผลประโยชน์ให้พวกพ้องของตน การสร้างกฎเพื่อประโยชน์ของพวกตน การทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ที่ขัดผลประโยชน์ ไม่ว่าจะในนามของกฏหมาย ในนามของความถูกต้องดีงามหรืออะไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจทุกคนก็ต้องทำเหมือนกัน นั่นก็คือการรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุดและยาวนานที่สุด
การมองอย่างตำหนิว่า คนที่ไม่ออกไปแสดงตัวว่าต้องการช่วยรักษาอำนาจเก่า และคนที่ไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์เพื่อสร้างกลุ่มอำนาจใหม่โดยการโค่นล้มอำนาจเก่า ว่าเป็นพวกไม่มีจุดยืนหรือไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองนั้นจึงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะคนที่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง ในทางกลับกัน บุคคลกลุ่มนี้ซึ่งดูเหมือนจะเงียบเฉยนั้น ความจริงเขาก็อาจจะเป็นผู้ที่กำลังปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองในวิธีของเขาเอง โดยไม่หวังพึ่งอำนาจจากฝ่ายใดๆ ที่เขายังไม่เห็นด้วยอย่างแท้จริงอยู่ก็เป็นได้
เราคงไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริงว่า ท่ามกลางบ้านเมืองที่ดูเหมือนจะใกล้ฉิบหายพังทลายลงไปเพราะความขัดแย้งและการทุจริตทุกรูปแบบ ยังมีคนจำนวนไม่น้อยในสังคมที่ยังยึดมั่นในการประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น และหากมีโอกาสเขาก็พร้อมที่จะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในทิศทางที่เขาเชื่อ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำหน้าที่เสมือนองค์กรภาคประชาชนที่คอยดูแลเป็นหูเป็นตา ช่วยตรวจสอบและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของสังคมและประเทศชาติอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ได้ลุกขึ้นมาเข่นฆ่าด่าทอตั้งตนเป็นศัตรูกับฝ่ายไหน มีคนจำนวนมหาศาลที่พร้อมจะทำสิ่งที่ดีงามในฐานะมนุษย์โดยไม่ยึดติดกับเชื้อชาติศาสนาทุกขณะที่เขามีโอกาส ควบคู่ไปกับการแสวงหาช่องทางที่มีประโยชน์เพื่อดูแลชีวิตตนเองและครอบครัวให้อยู่ดีมีสุขโดยไม่ทำร้ายหรือคดโกงใคร มีคนอีกไม่น้อยเหมือนกันที่ไม่เคยหยุดนิ่งกับการแสวงหาความจริง และพยายามช่วยสื่อสารความจริงที่ปลดปล่อยผู้คนในสังคมออกจากพันธนาการแห่งความเชื่อผิดๆ ศรัทธาลวงๆ จากพันธนาการของระบบการศึกษาที่เคลือบยาพิษ การศึกษาที่หลอกลวงให้คนโง่งมงายหลงผิดเหมือนฝูงหนูน่าสงสารที่วิ่งแข่งกันไล่ตามนักเป่าปี่เจ้าเล่ห์ไปตกทะเลตายฝูงแล้วฝูงเล่า
เพราะการเมืองไม่ได้มีอยู่แค่สองขั้ว การที่ผู้คนในสังคมไม่ได้เลือกข้างกันชัดเจนจนเหลือเพียงสองฝ่ายแล้วเข้าประหัตประหารกันให้ล้มตายแพ้ชนะไปข้างหนึ่งนั้น ไม่ได้แปลว่า สังคมของเรากำลังสิ้นหวัง แม้ประวัติศาสตร์จะบอกเราเสมอว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแทบทุกชนชาติล้วนแลกมาด้วยการสูญเสีย การปะทะที่รุนแรง การบาดเจ็บล้มตายและชัยชนะเด็ดขาดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอ แต่ในฐานะมนุษย์…โปรดอย่าลืมที่จะสงสัยว่า ใครกันที่เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์เหล่านั้น จงอย่าลืมทีเดียวเชียวว่าประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ที่มีการเผยแพร่อย่างเปิดเผยล้วนเขียนขึ้นโดยผู้ชนะ เขาอยากให้เราเชื่ออย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น อย่าลืมเชียวว่า…ทุกการต่อสู้ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีใครเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย ทุกคนต่างทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ลองนึกดีๆจะเห็นว่า ประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองอย่างเราและบรรพบุรุษของเราล้วนถูกเสี้ยมให้ทะเลาะกันในนามของสิ่งโน้นสิ่งนั้นสิ่งนี้มาตลอดภายใต้คำว่าสามัคคีที่ไม่มีการใคร่ครวญคิดและตั้งคำถามให้ถี่ถ้วน คำว่าสามัคคีที่บ่อยครั้งเป็นเครื่องมือของพิธีกรรมล่าแม่มด คำว่าสามัคคีที่ชนชั้นปกครองใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้แย่งชิงปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง คำว่าสามัคคีที่ทำให้เราหลับหูหลับตาจับอาวุธเข่นฆ่าคนต่างเผ่าพันธุ์โดยไม่มีการไต่สวน คำว่าสามัคคีที่ทำให้เกิดสงครามโลก เกิดการฆ่าผู้บริสุทธิ์จำนวนมหาศาลด้วยอาวุธมหาประลัย คำว่าสามัคคีที่ปราศจากการตรวจสอบความจริง ขาดสติปัญญาแยกแยะความถูกผิด ทำให้เกิดความฉิบหายมาเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่น่าแปลกที่ยังไม่ค่อยมีใครตระหนักถึงความน่ากลัวแท้ๆ ที่ซ่อนอยู่ในคำอันไพเราะหูนี้นัก
ความสามัคคีบนแนวคิดว่า ศัตรูของศัตรูคือเพื่อนของเรา ยิ่งเป็นสิ่งที่อันตราย เพราะการที่คนเราจะเลือกผูกมิตรเป็นเพื่อนกับใครนั้น คนจะเป็นเพื่อนกันได้ควรจะมีศีลเสมอกัน หากเรามั่นใจว่า ตัวเองเป็นคนดี และกำลังทำความดีด้วยการต่อสู้กับความเลวหรือคนเลวอยู่จริงๆ การรวมพลกับคนที่เราก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาจะเป็นคนที่ดีงามกว่าศัตรูของเราหรือไม่ หรือรู้อยู่แก่ใจว่าเขาก็เลวไม่เบา แต่ก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ไปกอดคอกับเขา เพียงเพื่อให้เกิดเป็นกลุ่มก้อนมีกำลังในการสู้รบให้ชนะ ช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์มากองไว้ข้างเรา ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ปลอดภัยนัก หากเราตั้งมั่นว่าจะทำเพื่อความดี เพราะเมื่ออำนาจถูกเปลี่ยนมือมาแล้ว คนที่เคยร่วมรบกับเรา อาจแปลงร่างเป็นศัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่า ทำให้การต่อสู้แทบตายของเราก็ไม่ต่างอะไรกับการพายเรือให้โจรนั่ง ท้ายที่สุด ด้วยสันดานโจรมันก็คงต้องถีบเราจมน้ำตายอยู่ดี และประเทศก็ยังคงจมดิ่งอยูในวังวนความฉิบหายต่อไปไม่สิ้นสุด
—————————–
ผู้เขียน : วีร์วิศ ArtMaster@ArtBangkok.com
ภาพประกอบ :
- Pink Man โดย มานิต ศรีวนิชภูมิ
- Patronage system โดย ลีลา พรหมวงศ์