ถวัลย์ ดัชนี

นับตั้งแต่ย้อนคืนเชียงราย แผ่นดินถิ่นเกิด ท่ามกลางความเจริญของบ้านเมืองที่มุ่งตามตะวันตกอย่างขาดสติในทุกศาสตร์ ด้านหนึ่ง ถวัลย์ ดัชนี ปรากฏสู่สายตาสาธารณชนในภาพช่างวาดรูปผู้อหังการ์ด้วยผลงานภาพวาดราคาแพงระยับที่ชนชั้นสูงล้วนไขว่คว้าไปครอบครอง อีกด้านเขาปลีกตัวใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในบ้านดำ นางแล พร้อมกับรังสรรค์หมู่สถาปัตยกรรมอันอุดมด้วยความงดงามระหว่างภูมิปัญญาตะวันออกและตะวันตกขึ้นมา แถมวางแผนสร้างเมรุเผาศพส่วนตัวในบั้นปลายชีวิตไว้เสร็จสรรพ อย่างช่างวาดรูปผู้ไม่หวั่นไหวต่อความตาย 

 

 

ความคิดที่คุณสร้างสถาปัตยกรรมนี้ขึ้นที่บ้านนางแลมาจากเหตุผลอะไร

ถวัลย์ : คือสามสิบปีที่แล้วเป็นความล่มสลายของอาคารไม้ที่อยู่ทางภาคเหนือทั้งหมด คือเขารื้อบ้านไม้ขายหมดขายถูกๆ ผมเลยไปซื้อบ้านไม้มาสามสิบหลัง ซื้อมาแล้วก็รื้อๆ เอามาวางไว้ แล้วผมมีความคิดเอาไว้ว่าจะเอาเศษซากไม้มาปลุกให้มีชีวิตเป็นรูปโครงอินทรีย์ขึ้นมาใหม่โดยอาศัยวัฒนธรรมเดิมในดินแดนแถบนี้คือวัฒนธรรมไม้ จึงไปดูพม่าและลาวและทางเหนือด้วย เพราะว่าดินแดนที่นี่เป็นสามเหลี่ยมทองคำ เราไม่สามารถจะเอาบ้านที่ระบบนิเวศวิทยาผิดระบบมาสร้าง ซึ่งจริงๆ ต้องมีการวางผังเอาไว้หมดแล้ว ผมใช้ระยะเวลาหกปีสำหรับการวางผังทำบ้านสิบเอ็ดหลังแรก และต่อมาอีกหกปีหลังผมทำขึ้นมาอีกสิบหลัง และสุดท้ายในสามปีทำขึ้นมาอีกห้าหลัง ทีนี่ไร่แม่ฟ้าหลวงก็ดีหรือคนอื่นก็ดีได้รับเอาวัฒนธรรมของการที่นำเอาวัฏจักรมาหมุนเวียนเช่นเป็นต้นว่า ไม้มุงแป้นเกร็ด ผมเป็นเจ้าแรกที่ทำ ต้องขอบอกว่าเป็นเจ้าแรกที่ทำในรอบสามสิบกว่าปีนี้ คนอื่นที่ทำนั้นได้ผลพวงมาจากการมองเห็น การจัดวางก็ดีเอาเขาสัตว์มาใช้งานก็ดี เอาไม้เก่ามาใช้งานก็ดี เมื่อสักสามสิบห้าปีที่แล้ววัฒนธรรมนั้นล่มสลายแล้วไม่มีแล้ว ผมซื้อไม้แป้นเกร็ด แผ่นละสิบสี่สตางค์ในสมัยนั้น ในขณะที่ปัจจุบันนี้ไม้แผ่นหนึ่งเกือบสิบบาท นี่คือความแตกต่างที่ไม่สามารถจะแตะต้องได้แล้ว และอันนี้ (ชี้ไปที่เรือนไม้หลังหนึ่ง) ผมซื้อมาเมื่อสามสิบเอ็ดปีที่แล้วราคาห้าหมื่นสองพันบาท ซึ่งทุกวันนี้คุณจะซื้อห้าล้านก็ไม่ได้ เพราะมันหายาก อย่างบ้านที่ผมบอกว่าอยู่ในเชียงราย อันนั้นเป็นบ้านที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจากสมาคมนานาชาติรวมทั้งสมาคมศิลปะแห่งสิงคโปร์เขาลงอยู่ในหนังสือบ้านอะไรต่างๆ ซึ่งถือว่าได้รับการยอมรับจากสถาปนิกทั้งภายในและภายนอก แต่ว่าที่น่าตลกคือว่า ผมได้รับรางวัลเหรียญทองเกือบเมื่อยี่สิบปีที่แล้วรางวัลของงานการสร้างงานศิลปะที่เป็นสถาปัตย์ปรากฏว่าเขามอบรางวัลให้ผมในฐานะที่เป็นจิตรกรผู้สร้างสถาปัตย์ เพราะพวกสถาปนิกทั้งหลายของสถาปนิกสยามสมาคมบอกว่า ผมไม่ใช่สถาปนิก ผมเป็นจิตรกร เพราะฉะนั้นมิอาจที่จะให้รางวัลผมในฐานะสถาปนิกได้จึงให้รางวัลผมในฐานะจิตรกรซึ่งสร้างสถาปัตย์

 

หัวใจสำคัญของที่นี่คืออะไร

ถวัลย์ : งานจิตรกรรมเป็นหัวใจของที่รี่ เพราะตัวเจ้าของเป็นจิตรกร เพราะฉะนั้นความล้ำเลิศของฝีมือเชิงช่างหรือความคิดอ่านที่สำคัญที่สุดของบ้านนี้คืองานจิตรกรรม แล้วรองลงไปคืองานประติมากรรมซึ่งมีอยู่ตามบ้านหลังต่างๆ อีกอันที่เป็นพระเอกคืองานสถาปัตยกรรม ซึ่งสรุปความคิดรวบยอดสั้นๆ ว่า ตัวคนสร้างได้รับความบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมทางเหนือ แล้วมาสร้างขึ้นโดยมิได้เอากลิ่นไอ แต่เอาจิตวิญญาณของอดีตมารับใช้ปัจจุบันไม่ใช่เดินทางย้อนเข้าไปทำเหมือนพม่าเหมือนลาว หรือเหมือนไทยแบบโบราณ สรุปว่าคือไม่ได้คิดทำแบบไทยรัตนโกสินทร์ ไปซื้อเรือนมาจากอยุธยามาเสียบๆ อะไรแบบนั้น คือบรรลุนิติภาวะทางความคิดและทางความงามแล้ว แต่ไม่ใช่ความเป็นเลิศ เพราะตัวเจ้าของบ้านเป็นจิตรกร เพราะฉะนั้นเขาจะทำความงามในแง่มุมของจิตรกรที่ควรจะเป็น โดยที่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเพียงสองเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 98 เปอร์เซ็นต์เป็นความงามบริสุทธิ์ เพราะว่าถ้าในสถาปัตยกรรมเขาจะคิดถึงประโยชน์ใช้สอย 99 เปอร์เซ็นต์ แล้วความงามเปอร์เซ็นต์เดียว มองเห็นได้ว่าที่นี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องประโยชน์ใช้สอยที่สำคัญคือตัวเจ้าของบ้านเป็นจิตรกร เพราะฉะนั้นเขาไม่ทำประโยชน์ใช้สอย เนื่องจากว่าโต๊ะ เก้าอี้อะไรเป็นประโยชน์ใช้สอย เป็นภาษาทางร่างกาย คนอื่นทำของที่มีประโยชน์ อย่างสถาปนิกเขาทำของที่มีประโยชน์ประติมกรก็ทำรูปอะไรที่พอมีประโยชน์บ้าง มัณฑนากรก็ทำเก้าอี้ใช้สอยให้กับร่างกาย จิตรกรนั้นเป็นคนที่ทำความรักปรากฏรูป คนที่ทำความดีคนที่ทำของที่มีประโยชน์นั่นเข้าถึงมหาวิหาร แต่คนที่ทำความรักปรากฏรูปเท่านั้นจึงจะเข้าถึงหิ้งบูชา เพราะฉะนั้นเราพูดถึงไมเคิล แองเจโล พูดถึงดาวินชีพูดถึงปิกัสโซ เขาไม่ได้ทำของที่มีประโยชน์ เขาทำของที่เป็นจิตวิญญาณของมนุษย์ เป็นไฮทัช หมายความว่าอันนั้นเป็นรอยของพระผู้เป็นเจ้าที่โอบร้อยตัวตนเข้าสู่ธนนมชาติ แล้วสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ เพราะพระเจ้าทำคนทำสัตว์อะไรขึ้นมา แต่คนที่เป็นจิตรกรเขาสร้างโลกทัศน์อะไรของเขาขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้นเป้าหมายของเราอยู่ที่ตรงนั้น

 

ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมที่คุณสร้างขึ้นมาคือใช้สีดำ เหตุผลที่ใช้มาจากอะไร

ถวัลย์ : ไม่มีอะไรหรอก คือสีดำมันหาได้ทั่วไปตามร้านค้า ผมมีเพื่อนแล้วเขามีอู่ซ่อมรถ เขาถ่ายน้ำมันเครื่อง แล้วน้ำมันเครื่องมีเยอะเหลือใช้ก็เอามาให้ ผมเห็นว่าเป็นของที่ได้มาฟรีๆ เลยเอามาทา เพราะว่าได้ของฟรีมา เห็นจะมีแค่นี้ คือการสร้างบ้านเรือนของผู้คนเผ่าไทยหรือคนในตะวันออก เขาจะมีระเบียบทางจิตของเขาแล้วระเบียบทางอิสริยยศของเขา เช่นเป็นต้นว่าคนที่เป็นวรรณะกษัตริย์เท่านั้นที่จะใช้สีแดง คนที่เป็นวรรณะพราหมณ์จะใช้สีขาว คนที่เป็นวรรณะแพทย์จะใช้สีเหลือง ส่วนคนวรรณะศูทรจะใช้สีดำ คือผู้ใช้แรงงาน ส่วนผมเป็นวรรณะจัณฑาล แต่ว่าวรรณะกษัตริย์ในบ้านเรา ถ้าเราเข้าไปในพิพิธภัณฑ์คุณจะเห็นตำหนักแดง อันนั้นพระราชินีประทับอยู่ในตำหนักนั้นมาก่อน เพราะฉะนั้นเจ้านายในราชวงศ์ชั้นสูงเท่านั้นจึงจะใช้สีแดง แต่ไพร่เขาจะใช้สีดำกัน นอกจากว่าจะเป็นสีของชนทั่วๆ ไป เช่นในสมัยโบราณคุณหาได้จากเปลือกไม้เปลือกมะเกลือ เปลือกอะไรที่สีดำ หรือน้ำมันดินน้ำมันดิบนอกจากสีที่ดำแล้วเข้ากันกับพื้นแผ่นดินมันยังปกป้องเนื้อไม้จากพวกมอด พวกปลวก พวกอะไรด้วย เพราะฉะนั้นคนที่เป็นชาวบ้านชาวไร่ชาวนาทั่วไปจึงใช้สีดำเป็นหลัก อย่างเราจะเห็นชาวนาที่เกี่ยวข้าวจะใช้สีดำ เพราะว่าสะท้อนแสงจะได้ไม่ให้ความร้อนอะไรมาก ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องอย่างนั้นมากกว่าโดยทั่วๆ ไป อย่างผมคือว่าเพื่อนเขามีน้ำมันขี้โล้เหลือเยอะ ผมคิดว่าการเอาน้ำมันขี้โล้มาทาแล้วป้องกันปลวกพวกมอดได้ ส่วนข้างในเรากลัวเปรอะเสื้อก็ใช้น้ำมันมะเกลือ เพื่อนเขาทำโรงงานน้ำมันมะเกลือเลยเอาน้ำมันมะเกลือมาให้ เราเลยเอามาทา แล้วโดยส่วนตัวผมออกจะชอบสีดำเป็นพิเศษเป็นความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งสิ้นเป็นความชอบโดยส่วนตัวเฉยๆ แล้วดินที่นี่เป็นสีแดง ถ้าทาสีดำแล้วรู้สึกว่าตัดกันระหว่างสีดำแดง ดูขลังและอบอุ่นคือถ้าบ้านเป็นสีชมพูก็รู้สึกว่าเป็นบ้านตุ๊ดอะไรอย่างนี้ บ้านเป็นสีขาวก็รู้สึกว่าไม่ใช่ที่อันควรแก่การเป็นช่างวาดรูป เพราะฉะนั้นเราทำอะไรก็ไห้เหมาะสมกับอาชีพการงาน หรือความชอบเป็นการส่วนตัวของเราด้วย

 

เท่าที่นับบ้านทั้งหมดมี 28 หลัง แต่ละหลังความเชื่อมโยงระหว่างกันในลักษะใด

ถวัลย์ : ทั้ง 28 หลัง มีหลังเดียวเท่านั้น คือหมายความว่าใน 11 หลังแรกเป็นวัฒนธรรมไม้ คือสร้างด้วยไม้ทั้งหมด โครงสร้างทุกอย่างตั้งแต่ยอดหลังคาลงมาจดพื้นฝังในดินเป็นไม้ คือผมต้องการรักษาวัฒนธรรมไม้ซึ่งเป็นรากไม้ของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นี่ไว้ ไม่ใช่เพียงแต่ท้องถิ่นของที่นี่ แต่เป็นรากเหง้าของภูมิปัญญาการสร้างบ้านด้วยวัฒนธรรมไม้ในระบบเสากับคาน ผมทำจนเห็นว่าอันนี้อิ่มตัวแล้ว ผมทำอีก 10 หลัง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมไม้ร่วมกันกับวัฒนธรรมปูน เช่นหลังนี้โครงสร้างเป็นไม้แล้วเป็นอิฐถือปูน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัยทางเหนือเราก็ใช้ เช่น โบสถ์ วิหาร แล้วต่อมาหลังสุดจึงเป็นวัฒนธรรมซีเมนต์ วัฒนธรรมคอนกรีตสานขึ้นโดยไม่ใช้เสา อันสุดท้ายที่ผมทำนี่เป็นความคิดของผมเอง เรียกว่าเป็นพลังทางจรภาพ คือการเคลื่อนไหวในงานสถาปัตยกรรมที่เหมือนลักษณะที่เขาเรียกว่า คีเนติค หรือว่าสถาปัตยกรรมของการเคลื่อนไหว แต่ผมดูจากโบสถ์ วิหาร หรืออุโมงค์ หรือว่าชุ้มจรนัมถ์ของโบราณ เผื่อเราไปดูอย่างอาณาจักรล้านช้างที่เขาทำอุโมงค์ที่วัดเชียงทอง หรือว่าไปดูจากภูฐาน เนปาล หรือทิเบต ที่เขาให้พวกนักษิตฤาษีเขาก็ทำแบบนี้ แต่ว่าผมเอามาสานเป็นโครงเหล็ก แล้วผมปั้นเป็นซีเมนต์ขึ้นมาเป็นชั้นแล้วทาสีขาวบ้าง ข้างในเป็นดำอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นในที่นี้จึงเป็น 3 วัฒนธรรมด้วยกัน แล้ว 3 เรื่องราวอันแรกคือ วัฒนธรรมไม้ เสากับคาน อันที่สองคือ วัฒนธรรมอิฐดินเผากับไม้ ซึ่งเป็นระบบเป็นเต๊นท์ คล้ายกับว่าเป็นคลุมโครงหลังคาอะไรขึ้นมาแล้วสุดท้ายเป็นกระโจมอย่างที่ผมทำ คือกระโจมในที่นี้ต้องเห็นว่าอย่างอินเดียนแดงเขาทำเป็นวัฒนธรรมกระโจม คือมีเสาอาจจะต้นเดียวอะไรอย่างนี้ หรือว่าอย่างพวกอิสลามที่ร่อนเร่เป็นพวกที่อยู่ตามทะเลทราย เช่น พวกเบดูอินก็ดี พวกคาเธทก็ดี เขาทำอย่างนั้น พวกช่างในสมัยโบราณเขาเป็นวัฒนธรรมเต๊นท์ เพราะฉะนั้นผมพยายามทดสอบดูทั้งเสากับคานแล้วก็เต็นท์แล้วก็กระโจม แต่เนื่องจากว่าผมมีความรู้ทางสถาปัตย์น้อยมาก ผมทำได้เท่าที่กำลังความคิดจะทำ คือต้องขอย้อนไปว่าเมื่อผมเรียนหนังสือ ผมทำสถิติไว้จนเดี๋ยวนี้ยังไม่เคยมีใครลบสถิติผมได้ คือผมได้คะแนนสถาปัตยกรรม 2 ส่วน 100 คือผมเขียนแต่ช่อฟ้า นอกนั้นผมใช้มือเขียน คือสถาปัตย์เขา ต้องใช้เครื่องเขียนอะไรอย่างนี้ แล้วผมไม่ชอบเครื่องเขียนแล้วไม่ใช่หัวใจผม ผมใช้เขียนวาดเส้นอะไรที่เป็นหัวใจหลัก สถาปัตย์ไม่มีโต๊ะเขียนหรอก แล้วอาจารย์ผมคือหลวงวิสาลศิลปกรรม ผู้ซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางสถาปัตยกรร ม บอกผมว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะให้คะแนนคุณได้ยังไง เนื่องจากว่าคุณใช้มือเขียนทั้งหมดเลย ข้าพเจ้าให้คะแนนคุณ 2 แล้วกันเพราะคุณเขียนช่อฟ้าข้างซ้าย ข้างขวามี 2 อัน ข้าพเจ้าให้ช่อฟ้าคุณข้างละ 1 คะแนนแล้วกัน แล้วตั้งแต่ผมจบมานี้ปรากฏว่ายังไม่มีใครทำลายสถิติผมได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าผมทำอะไรผิดพลาดไปต้องขอยกประโยชน์ว่าผมได้แค่ 2 ส่วน 100 เท่านั้นแหละ มีความรู้แค่นี้ก็ทำแบบหางอึ่งได้แค่นี้ แต่ว่าสถาปัตย์กรรมอะไรที่ผมทำต้องขอบอกว่าผมไม่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยคำนึงนิดเดียว 2% อีก 98% เป็นความงาม อย่างคุณดูโครงสร้างผมใช้ไม้ที่เรียกว่าไม้หน้า 4 สี่ประแหลก แล้วผมทำโครงขึ้นไป แล้วผมไม่สนใจถึงความหมดเปลือง ผมเอาแต่ความงาม เพราะผมต้องการเห็นตัวสัจภาวะของวัตถุ เช่นว่า ผมไม่เอาอะไรมาแทรก คือให้มองเห็นหลังคาให้มองเห็นตัวไม้ที่เป็นสัจภาวะของวัตถุ ไม้ก็เป็นไม้ กระเบื้องก็เป็นกระเบื้องกลอนก็เป็นกลอน อะไรอย่างนั้น คือทุกอย่างนี่ดิบ ดิบหมดเลยเปลือยหมด แต่ว่าไม่เถื่อนนะ เถื่อนผมไว้อีกบ้านหนึ่ง แต่ว่านี้เปลือยแล้วให้เห็นกัน โชว์ความงามโครงสร้างทางวัตถุ แล้วได้ความบันดาลใจมาจากโบสถ์ วิหาร คุณจะเห็นว่าความเรียบง่าย แล้วผมเจาะช่องตรงหมดเลย ตั้งแต่โน้นจนถึงอันไหนๆ เหมือนกันหมด

 

อันนี้มีเหตุผลต้องการให้เกิดความงามด้วยใช่ไหม

ถวัลย์ : คือถ้าเผื่อว่าความงามนั้นน่ะเป็นสาเหตุ เป็นเหตุผลอะไร ต้องขอยกให้ความงาม แล้วอยากพูดถึงความรักก่อน ความรักมีเหตุผลไหม ความรักไม่มีเหตุผล ความรักไม่ต้องการเหตุผล ความรักไม่ต้องการสิ่งใดอื่นนอกจากตัวของมันเอง ความรักไม่เคยให้อะไรอย่างอื่นนอกจากตัวมันเอง แล้วไม่รับสิ่งใดอื่นนอกจากตัวมันเอง เพราะฉะนั้นทีนี้ถ้าเผื่อผมบอกว่า ผมดูจากพนมรุ้ง ผมดูจากอียิปต์ หรือผมดูจากนครวัด นครธมต้องมีเหตุผล ต้องพระอาทิตย์ส่องตรงโน้น ต้องขอบอกว่าไม่ใช่ ผมเป็นเพียงธุลีทรายเล็กๆ ในหาดอนันตภาวะของมหาสมุทรที่เป็นแสงหิ่งห้อยส่องกันตัวเอง ก็ทำได้เล็กๆ แค่นี้ เห็นว่าเราควรจะวางผังก่อนไม่ใช่ว่าสร้างเลอะเทอะไปเรื่อย เพราะฉะนั้นนี่ผมต้องประมาณตนก่อนว่านะผมมีเวลาเท่าไหร่ ผมมีความรู้ความสามารถเท่าไหร่ แต่ผมไม่พูดถึงเรื่องเงินหรอกนะ เพราะว่าเงินเป็นสิ่งที่เลวร้ายปลายเหตุเท่านั้น ผมมีความรักก่อน การสร้างบ้านทั้งหมดของผม หรือการทำงานศิลปะของผมคือความรักปรากฏรูป เพราะฉะนั้นผมไม่สนใจเรื่องเงินทองผมไม่สนใจเรื่องเวลา ผมไม่สนใจเรื่องเหตุผล ไม่มีเหตุผล งานที่สร้างทั้งหมดของจิตรกรคือความรักปรากฏรูป คนที่ทำความดีมีเหตุมีผลทำสิ่งที่มีประโยชน์คนพวกนั้นเข้าถึงวิหาร แต่คนที่ไม่มีเหตุไม่มีผลไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่ทำด้วยหัวใจและความรัก คนพวกนั้นแหละขึ้นถึงหิ้งบูชา คนพวกนั้นเป็นรอยหรือเป็นลมหายใจของพระผู้เป็นเจ้า ผมไม่คิดว่าถ้าเรามองขึ้นไปในห้วงเวหา การบรรจุแพดาวของทางช้างเผือก การบรรจุดาวกฤษติกา ดาวลูกไก่ การบรรจุดาวไถอะไรของสุริยจักรวาลในห้วงเวหา ผมไม่คิดว่าพระผู้เป็นเจ้าหรือใครต้องมามีเหตุผลว่า ดาวไถควรจะอยู่ตรงนี้ ดาวหมาควรจะอยู่ตรงโน้น ดาวจระเข้ควรจะตรงนี้ ดาวเหนือควรจะเปล่งแสงเมื่อนั้นเมื่อนี้อะไรอย่างนี่ ผมคิดว่าเราไม่ควรจะไปถามนกหรอกว่า ทำไมจึงร้องเพลงในอากาศ ทำไมเราต้องไปถามดอกบัวว่า ทำไมต้องบานรับแสงอรุณในยามเช้า ทำไมเราถึงถามหิ่งห้อยว่าทำไมจึงเปล่งแสงอยู่ในพุ่มไม้ ผมคิดว่าอันนั้นมันเป็นปัตติยาการณ์ร่วมร้องเริงของฤดูกาลของชีวิตทั้งหมดที่เปล่งแสงจรัสจ้าออกมาให้แก่ระบบจักรวาลทั้งหมด นั่นคือความรักปรากฏรูป อย่ามาถามเรื่องเหตุเรื่องผลอะไรกับช่างวาดรูปเลย เพราะว่าช่างวาดรูปนี่เหตุผลของเขาคือไม่มีเหตุผลหรอก

 

สถาปัตยกรรมทั้งหมดที่คุณสร้างขึ้นมาเป็นสิ่งสมบูรณ์แล้วใช่ไหม หรือว่าจะมีอะไรมากกว่านี้

ถวัลย์ : ไม่สมบูรณ์ไม่อะไรต่างๆ นานา คือมันเติบโตอะไรขึ้นมาตามอายุขัยกาลเวลา แต่ว่าบ้านพวกนี้ถูกกำหนดความคิดโดยเจ้าของบ้านเองที่ว่า เจ้าของบ้านได้ทำบ้านพวกนี้ขึ้นมาเมื่ออายุ 40 แล้ว ซึ่งตอน 1-40 เจ้าของบ้านทำดิรัจฉานกิจกรรมสำหรับการดำรงชีวิตอยู่รอดก่อนคือว่าหาบ้านที่อยู่อาศัยให้แก่ตัวเอง หาข้าวให้แก่ตัวเองกิน กาเครื่องนุ่งห่ม หายารักษาโรค แล้วเจ้าของบ้านได้บรรลุภูมิธรรมอันนี้ แล้วมีบ้านที่ในกรุงเทพฯ ที่นี่ 3 แห่งแล้ว แต่กลุ่มบ้านทั้งหมดที่นี่เป็นที่ไว้ประจุดวงวิญญาณ ไม่ใช่เป็นที่อยู่อาศัยของทางร่างกาย เพราะฉะนั้นจึงไม่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย จึงไม่คำนึงถึงความสมบูรณาภาพ ว่าควรจะมีสิ่งต้องการขั้นพื้นฐานของร่างกายเพราะว่าไม่ใช่บ้านสำหรับประโยชน์ทางกาย เป็นบ้านสำหรับเอาไว้ติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าโดยตรงได้คุยกับพระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าสั่งมาว่าคุณจะทำนั้นทำนี้อันนี้เป็นวิหาร คือต้องขอบอกว่า อย่างไข่มุกนี่เป็นวิหารของความปวดร้าวของหอยที่ร้องไห้ คืนวันมันหล่นน้ำตารายลงให้แก่เม็ดทรายที่อยู่ในปากของหอย แล้วร่างกายของมนุษย์ชาติที่เป็นจิตรกรหรือว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่าศิลปินไม่รู้ว่ามวลสารของความรักนั้นห่อหุ้มอะไร ทำให้คนนั้นน่ะได้เปล่งรัศมีของความงามออกมาให้เป็นที่ปรากฏตามภูมิธรรมและตามจริยธรรม และตามคุณธรรม เท่าที่ตัวเองมีอยู่แล้วบรรจุนิติภาวะทางความคิดแล้ว เพราะว่าถ้าผมสร้างบ้านหลังนี้เมื่อผมอายุ 20 ผมคงสร้างอีกอย่างหนึ่ง เมื่อผมซัก 30 ผมก็สร้างอีกอย่างหนึ่ง ทีนี้ผมสร้างบ้านทุกอย่างเมื่ออายุ 40 เพราะฉะนั้นในระยะ 25 ปีมานี้ ผมสร้างปีละหลังสองหลังประมาณนั้น ทำมาเรื่อยๆ แต่ผมคุมโครงสร้างไว้แล้วว่ากลุ่มโครงบ้านไม้ผมจะทำที่ตรงไหน บ้านดินเผา หรือบ้านก้อนอิฐ ผมจะทำที่ตรงไหนบ้านที่เป็นอูบเป็นอะไรผมจะทำที่ตรงไหน แล้วผมจะเอาประโยชน์ใช้สอยอะไร แล้วความงามผมจะเป็นอย่างไร ซึ่งผมว่างผังอะไรไว้แบบเล็กๆ

 

ตามผังที่คุณวางไว้จะมีการสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า

ถวัลย์ : ตอนนี้กำลังจะสร้างมหาวิหารอันใหญ่มหกรรมอันหนึ่ง เพราะว่าผมเอาไว้ใส่รูป ความล้ำเลิศคือผมเป็นช่างวาดรูปผมก็อยากจะมีที่เก็บอะไรที่ผมคิดว่า พอหลังจากอายุ 60 มาแล้ว ผมคิดว่าผมเขียนรูปที่พอทนได้อยู่บ้าง 2-3 รูป คือเวลา 1-25 ปี ผมเรียน ผมฝึกฝนอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ผมเรียนรู้ เวลา 25-40 แล้วผมพยายามที่จะนำความรู้ของผมออกมาให้เป็นที่ปรากฏ แต่เป็นเพียงแค่แสงหิ่งห้อยที่ส่องก้นตัวเอง คือโลกยังไม่ยอมรับว่าอันนี้เป็นของที่มีคุณค่าหรือมีมูลค่า แต่พอผมอายุซัก 60 ขึ้นมาแล้วนี่ ผมเริ่มได้ ไม่ใช่ว่าผมไม่มีใครขานรับเสียงกู่แล้วผมเดินตามลำพัง ผมรู้สึกว่ามีคนขานรับเสียงกู่แล้วผมไม่เดินตามลำพัง โลกนี้เริ่มรองรับความคิดของผมแล้ว ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่นว่า ผมได้รับรางวัลอะไรมากมาย ซึ่งเป็นรางวัลในระดับนานาชาติ เช่นอย่างที่เยอรมันก็ดี ที่อเมริกาก็ดี ที่ญี่ปุ่นก็ดี ซึ่งพวกคุณคงจะเคยได้ยินมาบ้าง ถ้าคุณไม่ปิดหูปิดตามืดบอดทั้งหมด เพราะฉะนั้นผมก็เห็นว่า เอ้…เราก็คงจะเขียนรูปที่พอทนได้บ้าง แล้วผมอยากจะเก็บไว้ที่วิหารที่ผมจะทำ ผมก็รวบรวมไม้ รวบรวมข้าวของอะไรไว้ แล้วก็จะสร้างรวมขึ้นมา แล้วก็เอารูปที่ผมเห็นว่าพอทนได้ซัก 20-30 รูปใส่ไว้ แล้วถ้าเผื่อผมยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตายไปตามความปัตยาการณ์ของโลกและชีวิต ผมได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่าผมอาจจะเขียนรูปขึ้นมาได้ซัก 10-20 รูป ผมเคยเห็นอย่างปิกัสโซ หลังจากที่เขาอายุ 45 แล้ว เขาไม่ให้คนสัตว์และสิ่งของได้พบเลย เขาไม่ให้สัมภาษณ์ด้วย เขาไม่เกี่ยวข้องกับใครทั้งสิ้น เขาอยู่ในปราสาทของเขาแล้วเขียนรูปตลอดชีวิตของเขา แล้วเขาให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายเมื่ออายุ 45 ตั้งแต่นั้นมาเขาเขียนรูปอย่างเดียว ทีนี้ในบ้านเราจิตรกรแบบนั้นเราไม่มี จิตรกรบ้านเราทำดิรัจฉานกิจกรรมมากมาย เราต้องเล่นขายของ ปาหี่ต่างๆ เป็นนักวิชาการ เป็นกรรมการตัดสินงานศิลปกรรม ไปเป็นกรรมการบ้าบอคอแตกอะไรร้อยแปดพันเก้าเป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งเป็นเรื่องดิรัจฉานกิจกรรมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ของมนุษย์ชาติเลยแม้แต่นิดเดียว ทีนี้สิ่งเหล่านี้เป็นมารผจญทำให้เราพะรุงพะรังเป็นห่วงหน่วงรั้งไปด้วยจิตที่ไม่ใช่ของศิลปินมันฆ่าเรา มันใส่กรอบเรามันปล้นเรามันทำลายเวลาของเราไปหมด เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ประหารเหล่านี้เรามีแต่มุทิตาจิต ช่วยนั่นช่วยนี่อะไรอย่างนี้ แล้วเราก็จะไม่ได้ช่วยตัวเอง แล้วเราก็จะไม่ได้ช่วยแผ่นดิน แล้วเราจะไม่ได้ช่วยมนุษย์ชาติในที่สุด เพราะเรามัวแต่ไปช่วยหนังกำพร้ามากกว่า ที่จะไปคำนึงถึงลมหายใจว่า ลมหายใจนี่ทำให้เรามีชีวิต แล้วสิ่งที่เราทำก็เป็นเรื่องจิตวิญญาณที่จะให้คนอื่นสืบเนื่องมา เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าจะทำอีก 2 หลังสุดท้ายคือเป็นหลังใหญ่สำหรับเป็นมหาวิหารเอาไว้ใส่รูป แล้วทำอีกหลังหนึ่งเอาไว้เป็นห้องสมุดเพราะว่าผมมีหนังสือมากมายมหาศาล ส่วนใหญ่เป็นเรื่องศิลปะจะได้ให้คนดูข้อมูลแห้งอะไรเหล่านั้น

 

ในโลกทั่วไปมีความคิดเรื่องผลงานชิ้นสำคัญที่สุดผลงานที่คุณทำอยู่นี่ต้องการให้เป็นแบบนั้นใช่ไหม

ถวัลย์ : ไม่มีหรอก ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สุด มีแต่การเริ่มต้น ผมเชื่อในเมล็ดพันธุ์พืชซึ่งมีศรัทธาของความเติบโตดักรออยู่ มันไม่อาจพิสูจน์ความเป็นต้นไม้ร้อยอ้อมในชั่วพริบตา เพราะฉะนั้นเขาบอกว่ากรุงโรมไม่ได้สร้างภายในวันเดียว กรุงโรมทุกวันนี้ถึงแม้จะหมดอายุขัยไปแล้วตั้ง 3,000 ปีมาแล้ว แต่ว่าความเป็นกรุงโรมนั้นยังคงอยู่ มันยังอยู่ในหัวใจของผู้คน ชาวกรุงโรมทั้งหลายทั้งปวง แล้วเราพูดถึงยันอียิปต์เลยนะ ถึงแม้ว่าอาณาจักรของอียิปต์จะล่มสลายไปแล้ว ความเป็นอียิปต์ความเป็นมลังเมลืองยังอยู่ มันก็อยู่ในตำนานที่ยังมีชีวิต คนก็สร้างหนังสร้างละครเขียนรูป ทำตำรับตำราโบราณคดี ค้นคว้าอะไรไม่มีที่สุดสิ้น เพราะฉะนั้นผมเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ เป็นเมล็ดพันธุ์หรือเป็นสะเก็ตทรายเล็กๆ ที่อยู่ในอนันตภาวะของหาดสมุทรที่ผมสร้าง เพียงแต่ว่าผมไม่มีศรัทธาที่ว่าจะทุ่มกายใจทั้งหมดไปกับงานสร้างสรรค์ที่เป็นรูป สถาปัตย์เพราะว่าผมเป็นจิตรกร เพราะฉะนั้นผมต้องหนักไปในเรื่องของการเขียนรูปมากกว่า อันนี้ผมทำแพลนเอาไว้แล้ว แล้วให้ช่างเขาทำไปอย่างการสร้างมหาวิหารจะมีผู้รับเหมาก่อสร้างเขามาทำ เพราะเขียนแบบให้เขาเสร็จแล้ว ผู้รับเหมาเขาจะมาตัดดอนไปแบบฆ่าตัดตอนไปว่าใครทำคานคอดินก็ทำไป ใครทำโครงสร้างไม้ก็ทำไป ใครทำหลังคาก็ทำไป ซึ่งหลังคาผมทำไว้แล้วที่อยุธยา คือว่ามาถึงก็เอามาเสียบได้เลยโครงสร้างทำไว้แล้ว ไอ้กระเบื้องปั้นดินเผาที่เป็นกระเบื้องเคลือบสีดำ ผมทำไว้แล้วที่จันทบุรี พร้อมที่จะขนมา ไม้ผมก็เตรียมเอาไว้อยู่แล้ว

 

เพราะอะไรช่างวาดรูปอย่างคุณถึงยอมทำดิรัจฉานวิชาในบางครั้ง

ถวัลย์ : เราอยู่ในประเทศด้อยพัฒนา คนเขาก็ชื่นชมคุณก็ต้องไปงานปาหี่อะไรบ้าบอ ซึ่งไม่ใช่กิจของช่าง อย่าว่าแต่ผมเลยคุณดูบ้านเราเขามียศขุนนางพระ เห็นไหม พระก็มียศเป็นเจ้าคุณ เป็นอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ช้างก็ต้องมีเป็นเจ้าคุณเป็นพระยาคชสาร เป็นอะไรแล้วก็มียศช้างขุนนางพระ เพราะฉะนั้นผมไม่ใช่ว่าเป็นช่างวาดรูปอย่างเดียวต้องเป็นศิลปินของอาเซียน เป็นศิลปินของอะไรเป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นอะไรต่ออะไรอีก อะไรที่พะรุงพะรังที่เป็นขี้กลากหนังกำพร้าตั้งเยอะแยะซึ่งผมไม่ได้สนใจสมมุติสัจจะเหล่านี้ แต่ว่าสมมุติสัจจะเหล่านี้คือเครื่องปั่นทอน แล้วคนเขาก็ไม่ปล่อยให้ผมทิ้งไว้ ไม่ควรจะเอาผมไปขายของเล่นปาหี่อะไรแบบนี้

 

คุณบอกว่าสถาปัตยกรรมที่สร้างไว้สำหรับบรรจุดวงวิญญาณ

ถวัลย์ : ผมหมายความว่า มนุษย์นี่แบ่งเป็นกายกับจิต กายหมายความว่าสิ่งที่สำหรับทางกายอยู่ บางคนมีบ้านสำหรับเอาไว้ให้ร่างกายอยู่ เขามีห้องนอน มีห้องน้ำ มีห้องรับแขก มีโต๊ะเก้าอี้ มีที่กินข้าวมีที่อะไร เหมือนอย่างที่ชาวบ้านเขามีอยู่ ทีนี้คุณมาเห็นที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่บ้านสำหรับบรรจุร่างกายแบบนั้น เป็นบ้านสำหรับบรรจุดวงวิญญาณ เพราะว่าไม่ใช่อยู่จริง มันก็มี มันก็มีโต๊ะเก้าอี้ มันก็มีโต๊ะกินข้าว มันก็มีที่นอน มันก็มีห้องส้วม แต่ว่ามันไม่ใช่บ้านสำหรับคนอยู่อาศัยขั้นพื้นฐาน อันนี้สำหรับจิตวิญญาณ เลยขั้นตอนของการอยู่อาศัย ของธรรมดาโลกที่เป็นกายเนื้อคือประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้เป็นความเป็นทิพย์ภาวะ คือหมายความว่าไม่สนใจเรื่องกินอยู่หลับนอนหรอก เพราะว่ากินอยู่หลับนอน ผมทำไว้แล้วที่กรุงเทพฯ บ้านผมที่กรุงเทพฯ ผมทำไว้เยอะแยะสำหรับตัวเอง ทีนี้ผมมาคิดว่าสำหรับตัวเองผมทำแล้ว ผมก็ลองทำอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่ของตัวเองบ้าง ของที่เลยขั้นตอนของตัวเอง

 

คุณไม่ได้คาดหวังอะไรเลยจากการทำสิ่งก่อสร้างเหล่านี้

ถวัลย์ : ไม่มี ผมไม่เคยคาดหวังอะไรเลย ผมไม่ได้คาดหวังตั้งแต่แรกแล้ว คือต้องขอบอกก่อนว่า ผมเป็นนักเขียนรูปอย่างบริสุทธิ์ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนกับพวกที่ตื่นแล้ว ในพุทธศาสนาคนที่เป็นพุทธะคือผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน แล้วคนที่ไปบรรลุธรรมอย่างนิพพานก็บรรลุธรรมไปแล้ว แต่อย่างผมนี่ ผมไม่เคยทำอะไรอย่างอื่น ผมเรียนวาดรูปมา ผมเรียนอย่างเดียวผมเรียนแคบๆ ผมจบมาผมไม่เคยทำอย่างอื่นผมวาดรูปอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจะไปคาดหวังอะไร คนวาดรูปก็เขียนรูปแล้ววางไว้ ส่วนใครจะชื่นชมก็แล้วแต่

 

 

________________________________

ที่มา : นิตยสาร HI-CLASS

photo : ณัชชา เฉลิมรัตน์

ข้อเขียนนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของนิตยสาร  HI-CLASS  ห้ามนำไปลอกเลียน ทำซ้ำ หรือ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

You may also like...