ในทุกปีวงการภาพยนตร์จะมีหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 มาให้ชมกัน บางปีก็มีหลายเรื่อง แตกต่างแนวกันไปทั้ง แอ็คชั่น ดราม่า รักโรแมนติก ไปจนถึง ตลก เช่นเดียวกับในปีนี้ที่มี Fury เข้าฉาย หากใครสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ อาวุธ หรือ เกมส์ ย่อมคุ้นเคยดีว่าประเทศเยอรมันภายใต้การปกครองของนาซีในขณะนั้น มีชื่อเสียงอย่างมากเรื่องการรบด้วย รถถัง โดยเฉพาะ รถถังไทเกอร์ อาวุธเด็ดของนาซีที่มีเกราะหนาและพลังยิงทำลายล้างสูง ปี1939 เยอรมันกรีฑาทัพตีนตะขาบเข้ายึดประเทศโปแลนด์อย่างง่ายดายในปฏิบัติการณ์สายฟ้าแล่บ นั่นเองเป็นชนวนแรกแห่งสงคราม
Fury เป็นชื่อของรถถังรุ่นเชอร์แมนของสหรัฐฯและฝ่ายสัมพันธมิตร ที่มี ดอน (แบรด พิตต์) เป็นหัวหน้าในการคุมรถ ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามย้ายสมรภูมิมาอยู่ที่ประเทศเยอรมันในปี1945 ลูกทีมของเขาเหลือแค่3 คือ บอยด์ (ไชอา เลอเบิฟ) พลยิงปืนรถถัง กอร์โด (ไมเคิล พีน่า) พลขับ และ เกรดี้ (โจนาธาน เบิร์นธัล) พลกระสุน
ต่อมา นอร์แมน (โลแกน เลอร์แมน) ถูกส่งตัวให้มาร่วมทีมกับ ดอน ในฐานะพลปืนกล ทั้งๆที่เขาเป็นทหารเอกสาร ไม่เคยจับปืน ไม่เคยฆ่าคน ไก่อ่อนในสมรภูมิจึงถูกรับน้องอย่างหนักจนเขาขอลาจากหน้าที่หลายครั้งแต่ก็ยังแข็งใจผ่านเรื่องร้ายๆมาได้ รถถัง5คันได้รับภารกิจพิเศษให้ไปปกป้องทางแยกสำคัญที่กำหนดชะตากรรมของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงคราม แต่สุดท้ายกลับมีเพียง ฟิวรี่ และทหาร5นายที่เหลือรอดไปถึง ขณะที่หน่วยเอสเอส (หน่วยทหารลับที่จงรักภักดีต่อฮิตเลอร์ที่สุด) แห่งนาซีประมาณ2-3ร้อยคนกำลังเดินทัพมา พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป
บทของหนังมีส่วนผสมของแอ็คชั่นและดราม่าอย่างละครึ่ง ความแตกต่างของ Fury จากหนังสงครามเรื่องอื่นๆคือหันไปถ่ายทอดชีวิตของทหารในรถถังแบบจริงจัง ซึ่งส่วนใหญ่หนังเกี่ยวกับสงครามโลกจะเล่าผ่านมุมมองทหารราบ ทหารเรือ หรือไม่ก็ นักบิน เนื้อเรื่องของ Fury ทำให้ผมนึกถึงหนังสงครามที่ที่ชื่อ Sahara ทั้งสองเรื่องมีจุดที่คล้ายกันคือไม่ได้มองรถถังเป็นแค่อาวุธ
ฉากไคลแม็กซ์ของหนังเป็นการประจัญบานของรถถังไทเกอร์กับรถเชอร์แมน ตื่นตาตื่นใจ ลุ้นระทึก ส่วนตัวคาดหัวงว่าจะได้เห็นฉากการต่อสู้ด้วยของเหล่าตีนตะขาบมากกว่านี้ จึงผิดหวังหน่อยๆ ประเด็นมิตรภาพในหมู่ทหารที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันทำได้ดี ส่วนแนวคิดเรื่องความเชื่อในพระเจ้ากับการสร้างภาพให้นาซีเป็นปีศาจดูล้นและยัดเยียดไปนิด มุมมองการเล่าเป็นทางเดียวคือผ่านสายตาของทหารสหรัฐฯ แน่นอนว่ายังคงมีการแฝงแนวคิดอเมริกันฮีโร่เหมือนกับหนังสงครามเกือบทุกเรื่องจากฮอลลีวู้ด
การแสดง แบรด พิตต์ เล่นได้ดีพอสมควร ดูเก๋าที่สุด จึงรับมือกับซีนอารมณ์ต่างๆได้เยี่ยม แต่ที่โดดเด่นจริงๆกลับเป็น ไชอา เลอเบิฟ เขาถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ลึกซึ้ง ตัวละครถึงจะไม่เด่นมากแต่ก็น่าสนใจ ลุคเซอร์ๆแบบนี้ทำเอาเราลืมไปเลยว่าเขาเคยเล่นหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง Transformer ด้าน โลแกน เลอร์แมน บทส่งให้เขามายืนข้างหน้า และเขาก็หันเข้าหาแสงไฟแบบไม่เขินอาย ประกบกับดาราชั้นนำได้อย่างสบาย มีพัฒนาการมากขึ้นกว่าตอนเล่น Noah
โดยรวม Fury เป็นภาพยนตร์สงครามชั้นดี มีทั้งความสนุกและสาระ เป็นที่พูดถึง แต่ไม่อาจน่าจดจำเหมือน Saving private ryan ผู้กำกับพยายามสร้างความสะเทือนใจให้ผู้ชม สื่อให้เห็นถึงความโหดร้ายในสงคราม แต่ขณะเดียวกันหนังก็มีคำพูดหรือข้อความบางอย่างที่รุนแรง ดูหมิ่นล่อแหลมในการสะกิดบาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่หลายคนอยากลืมเลือน ซึ่งมักถูกดึงขึ้นมาตอกยํ้า ซํ้าแล้ว ซํ้าเล่า
BUGABOO NEWS / บทวิจารณ์โดย นกไซเบอร์
สิทธิโชติ สุภาวรรณ์ (นกไซเบอร์)
จบด้านขีดๆเขียนๆ ตอนนี้ทำงานเกี่ยวกับโลกไซเบอร์ เป็นคนชอบดูหนังมาก ดูได้ทุกแนว เมื่อดูจบแล้วมีอะไรค้างคาในใจก็จะมาระบายออกลงในบล็อกส่วนตัวเงียบๆ ใช้นามปากกาว่า นกไซเบอร์