Vincent Van Gogh

ทุกภาพคือความเจ็บปวด…จิตรกรผู้เป็นสมบัติของโลก วินเซนต์ แวนโก๊ะห์

Starry, starry night

Paint your palette blue and grey

Look out on a summer’s day

With eyes that know the darkness in my soul

Shadows on the hills

Sketch the trees and daffodils

Catch the breeze and the winter chills

In colours on the snowy linen land

…………………………………………

เสียงเพลงยังคงคร่ำครวญอ้อยอิ่งอยู่ในหู แทนที่จะเห็นภาพประกอบมิวสิคเป็นภาพวาด The starry night อันลือลั่น กลับกลายเป็นภาพเตียงนอนที่โรงพยาบาล  Arles แทน

“แวนโกะห์” คุณต้องการอะไรไหม หมอกาเชท์เขยิบเข้ามาใกล้เขา
“ขอสีและพู่กัน….เท่านั้นเอง”  เราต่างหวังว่าจะได้ยินอย่างนั้น แต่ภายใต้เส้นผมสีแดง ดวงหน้าที่เงียบสงบ และดวงตาสีฟ้าที่ดูมีชีวิตชีวาที่สุด กลับไม่พูดอะไรออกมาเลย

เรารู้จักศิลปินคนนี้ดีแค่ไหน คงไม่ใช่แค่ผลงานภาพวาดแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ที่วาดด้วยความจริงอย่างลึกซึ้ง ทำให้เขายังเป็นที่จดจำของคนทั้งโลก หากแต่อัตชีวประวัติของศิลปินชาวดัทช์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้กลายเป็นเรื่องราวที่เล่าขานไม่รู้จบเช่นเดียวกับผลงานของเขา แวนโกะห์ ผู้ผิดหวังจากความรักครั้งแล้วครั้งเล่า ชายซึ่งหลงรักงานศิลปะกว่าสิ่งอื่นใด ชายซึ่งเป็นภาพตัวแทนความล้มเหลวในการประกอบอาชีพเป็นศิลปินสร้างงานศิลปะ ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่

ในวัย 21 ปี แวนโกะห์ เริ่มต้นด้วยการเป็นพนักงานขายภาพศิลปะและภาพพิมพ์แกะไม้ ที่บริษัทกูปีล์ ซึ่งเจ้าของบริษัทเป็นลุงแท้ๆของเขา ชีวิตของแวนโกะห์เหมือนจะไม่มีอะไรเลวร้ายนัก ถ้าหากเขายอมที่จะทรยศต่อความรู้สึกของตนเอง หลอกลูกค้าและคนไม่รู้จักให้ซื้อภาพเขียนเลวๆ เขาคงเอาดีได้กับอาชีพนักค้างานศิลปะ แต่แวนโกะห์เลือกทางที่ต่างออกไป ประกอบกับภาวะอกหักในรักครั้งแรกกับหญิงสาวที่ชื่อเออร์ ซูลา ทำให้เขาตัดสินใจลาจากประเทศอังกฤษไปตลอดกาล

ช่วงชีวิตที่กำลังโศกเศร้าผสมปนเปไปกับการต้องตัดสินใจนั้น ทำให้แวนโกะห์ตัดสินใจไปเป็นพระนักเทศน์ เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีคุณค่าขึ้น เขาถูกส่งตัวไปเมืองบอริเนจ ที่เหมืองแร่มาร์คาสเซ ที่นี่ผู้คนล้มตายเป็นรายวันจากการทำงานหนัก แก๊สพิษ และความหิวโหย มนุษย์ที่มาร์คาสเซถูกมนุษย์ด้วยกันเองทรมานยิ่งกว่าฝูงสัตว์ แวนโกะห์เลือกมาที่นี่ เพราะเขาหวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม จิตใจที่อ่อนโยนเกินไปทำให้เขาดูแปลกแตกต่างจากคนอื่น แวนโกะห์ประสบความล้มเหลวในการเป็นพระนักเทศน์ ช่วงเวลานั้นเขาสูญเสียศรัทธาต่อทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ในเวลานั้นคือ หนังสือ

ในช่วงเวลาที่แวนโกะห์กำลังท้อแท้ เขาได้กลับไปที่เหมืองแร่มาร์คาสเซอีกครั้ง และเริ่มสเก็ตซ์ภาพคนงาน  เขาวาด วาด และวาด ไม่นานนักสิ่งที่แวนโกะห์ค้นพบก็คือความปราถนาที่จะวาดภาพ  ความสุขในการวาดภาพ ปรารถนาที่จะเรียนรู้การวาดภาพ วิธีการวาดภาพจากศิลปิน และผู้ที่ให้การสนับสนุนเขา คือ ธีโอ น้องชายที่เขารักและรักเขามากที่สุด ธีโอให้กำลังใจและเงินเดือนสนับสนุนแก่แวนโกะห์ทุกเดือน

ระยะแรกที่สร้างงานศิลปะ แวนโกะห์ไม่แตกต่างจากศิลปินทั่วไป  เขาลอกเลียนแบบแนวทางศิลปินที่เขาชอบโดยไม่รู้สึกตัว งานของแวนโกะห์จึงไม่ต่างจากการก๊อปปี้ วันเวลาที่ผ่านไป เขาวาดภาพอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ช่วงเวลาเดียวกันนี้เขาได้เริ่มออกเดินทางไปสถานที่ต่างๆ เริ่มเรียนรู้ พบเจอผู้คน พ่อค้างานศิลปะ เพื่อนศิลปินมากมาย มีความรักครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายแวนโกะห์ก็ไม่สามารถเจอคนที่เข้าใจสิ่งที่เขาทำอยู่เลยสักคนเดียว เขาพยายามจะค้นหาแนวทางในการเขียนภาพของเขา ดูเหมือนยิ่งพยายามเท่าไหร่ แวนโกะห์จะยิ่งหมดแรงลงเรื่อยๆ

“ไร่องุ่นแดงที่อาร์เลส์ เมื่อฤดูใบไม้ผลิ ปี 1888”  : เป็นภาพเดียวที่วินเซนต์ แวนโกะห์ขายได้ ในราคาสี่ร้อยฟรังซ์ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

แวนโกะห์ต้องการให้ผู้คนยอมรับในงานศิลปะของเขา เหมือนยอมรับศิลปินคนอื่นๆ  ชื่อเสียงเงินทองนั้นอาจจะเป็นแค่ผลพลอยได้ราคาแพง

อาการหมกมุ่น เก็บกด ปฎิเสธการปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่กิน ไม่นอน ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำให้เขาป่วยโดยไม่รู้สึกตัว ความเครียดที่สะสมทับถมมานานวัน ประกอบกับเหตุการณ์ที่แวนโกะห์ทะเลาะอย่างเอาเป็นเอาตายกับโกแกงเพื่อนรัก เป็นจุดพีคที่ทำให้เขาต้องตัดหูตัวเอง

แวนโกะห์ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลโรคจิต ในเมือง แซต์ง เรมี พวกเขาหวังว่าเมื่ออยู่ที่นี่แวนโกะห์จะมีอาการดีขึ้น และหายป่วยในที่สุด ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลแวนโกะห์ได้วาดรูปเพื่อบรรเทาความทุกข์ในจิตใจของเขา แต่พลังในตัวของเขากลับเหือดแห้งลงไป วันแล้ววันเล่า และเรารู้ว่าในอีกไม่ช้า มันจะหมดไปในที่สุด

“สิ่งที่ทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิต สำหรับคนที่เลือกจะเป็นศิลปิน นั่นคือวันที่เรารู้ว่า เราจะไม่มีทางได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเราเอง”

ไม่นานนัก ธีโอ น้องชายสุดที่รัก ได้ส่งจดหมายพร้อมข่าวดีมาว่า ภาพ “ไร่องุ่นแดงที่เมืองอาร์เลส์ ในฤดูใบไม้ผลิ” ของเขา ขายได้ในราคาสี่ร้อยฟรังซ์ แวนโกะห์  เริ่มมีความหวังในชีวิตอีกครั้ง แต่ลึกๆเขารู้ว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว  เขาป่วย และไม่มีวันจะหายดี เขาทุกข์ทรมานมาค่อนชีวิต ไม่มียาขนานใดจะรักษาเขาได้ ท่ามกลางพลังใจที่เคยลุกโชน มันกลับแผดเผาเขาให้มอดไหม้ลงทีละน้อยเช่นกัน แวนโกะห์เลือกจบชีวิตด้วยปืนรีวอลท์เวอร์ เลือดเนื้อ ร่างกายของเขา ไหลลงกลับสู่ดินไปหมดแล้ว

ตลอดชีวิตของแวนโกะห์ มีความรักแท้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเสมอ พ่อแม่ ธีโอน้องชาย ลุงของเขา รักครั้งแรก ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาไม่เว้นแม้แต่โสเณี เพื่อนศิลปิน พ่อค้างานศิลปะ คนงานที่มาร์คาสเซ  ชีวิตของมนุษย์ เลือดเนื้อ หยดน้ำตา ความลำบากอดอยากยากจน ความหิวโหย เขารักแสงแดด สายลม ทุ่งหญ้า ดอกไม้ ต้นไม้ สีสันชีวิตในเมืองอาร์เลส์  สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาพวาดชิ้นเอกที่อยู่ในใจเขา ภาพของแวนโกะห์ทุกภาพจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตและวิญญาณ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนทั่วโลกจึงรักเขา ชื่นชมผลงานของเขา สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าเขาจะปกติหรือไม่ ตลอดชีวิตขายภาพได้แค่ภาพเดียวก็ตาม แต่ไม่มีใครปฎิเสธเลยว่า วินเซนต์ แวนโกะห์ เป็นศิลปินที่เป็นสมบัติของโลกอย่างแท้จริง

แด่ความทุกข์อันเป็นนิรันดร์….และความฝันที่งดงามเสมอ

 

TEXT : TuL

 

You may also like...