ชำนิ ทิพย์มณี ผู้ก่อตั้งบริษัท ตาชำนิ จำกัดและศิลปินช่างภาพมือเก๋าที่สุดในเมืองไทยคนหนึ่ง ได้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาก่อนหน้าที่เขาจะเดินมาสู่การเป็นช่างภาพอาชีพว่า “ เริ่มที่การผจญภัย หรือการเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อค้นหาตัวเอง จากเดินทางไปกลับสองสามครั้งสุดท้ายก็จบที่ประเทศอิตาลี เรียนอยู่ที่นั่นประมาณ 3-4 ปี แล้วจึงกลับมาเมืองไทย ทำงานที่เซ็นทรัลดีพาร์ทเมนสโตร์ที่สาขาลาดพร้าว ภายใต้การนำของคุณสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ท่ามกลางความใหม่ของมัน ความคล่องตัวก็เป็นเรื่องยากนิดหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังขาขึ้น ทุกอย่างที่ทำ ณ เวลานั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
“ จนกระทั่งผมแยกตัวออกมาทำของผมเอง แต่ก่อนหน้าที่ผมจะเจอคุณสุทธิธรรม ผมก็เจออีกท่านหนึ่งที่แนะนำให้ผมเข้ามายังเส้นทางนี้ก็คือคุณทอม เชื้อวิวัฒน์ซึ่งได้นำผมเข้าไปหาคุณสุทธิธรรม ซึ่งต่อมาก็ได้เอื้อเฟื้อผม ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มงานมา เป็นฟรีแลนซ์อยู่สองปี ผมก็ตั้งบริษัทซึ่งก็อยู่มาจนกระทั่งปัจจุบัน ”
ชำนิเล่าให้เราฟังว่าตอนที่เรียนที่อิตาลีการเลือกเรียนไม่เลือกเรียนสาขาอะไรไม่ได้อยู่ที่การเลือกในครั้งแรก คือเราต้องเรียนไปก่อนเพื่อค้นหาดูว่าเราอยากที่จะเป็นช่างภาพประเภทใด ซี่งที่นั้นแต่ละสาขาของวิชาภาพถ่ายถือว่าเรียนกันแบบจริงจังมากๆ
“ ปีแรกๆ ที่เป็นฟันดาเมนทัลก็คือเรียนรวมพื้นฐานทุกอย่างไปก่อน ปีสองก็ต้องค้นคว้าด้วยตัวเองว่าเราถนัดอะไร จนกระทั่งปีหลังๆ ก็จะมีช่างภาพอาชีพสาขาโน้น สาขานี้มาคุยกับเราจนทำให้เราเกิดปัญญาว่าชอบทางสติลไลฟ์ก็ไปทางนี้ ชอบจูนอลิสต์ก็ไปทางนั้น เขาบอกเราไม่ได้ เพราะคุณต้องหาตัวเองด้วย ” ส่วนเรื่องอุปสรรคทางด้านภาษาชำนิกล่าวว่าอะไรที่ยากๆ เราก็ใช้วาดรูปแทน ปัญหาจริงๆ ก็คือเราเขียนยาวๆ ไม่ได้ “ ลำบากครับ ลำบาก ใช้เงินก็น้อยมาก เพื่อนในห้องก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้ตังค์ มีอะไรก็คอยช่วยเหลือ ผมใช้ชีวิตรวมแล้ว 7-8 ปีที่นั่น ผมไปอยู่ที่เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ สเปน แล้วก็ไปลงท้ายที่อิตาลี ”
หากถามว่าทำไมต้องเป็นอิตาลี เขาได้อธิบายไว้อย่างน่ารับฟังว่า “ มันพร้อมทุกอย่างที่เราสามารถจะเก็บเกี่ยวได้ก็เลยทำให้เราซึมซับไม่ใช่แค่ภาพถ่าย หากรวมไปถึงศิลปะ ความเป็นอยู่ วัฒนธรรม เสรีภาพในการคิด หรือในการแสดงออกก็มีอยู่ ถึงแม้ที่อิตาลีที่ผมอยู่ในสมัยนั้นจะเป็นคอมมิวนิสม์ แต่ก็เป็นคอมมิวนิสม์ที่มีเสรี มีอิสระในการแสดงความคิดเห็น ”
ในเรื่องของความแตกต่างระหว่างการเป็นช่างภาพของสมัยนั้นและสมัยนี้ชำนิอธิบายว่า “ ในสมัยนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องง่าย ทุกอย่างมันพร้อมหมดแล้ว ข้อมูลเอย วิทยาการเอย ความรู้ทุกอย่าง ทุกอย่างพร้อม มันก็เลยง่ายต่อการเข้าถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงข่ายมีความสมบูรณ์ เรามีอินเตอร์เน็ทความเร็วสูง แต่ถ้าเป็นสมัยการค้นคว้าความรู้ในแบบเดียวกันต้องทำด้วยตัวเอง ”
ศิลปินช่างภาพที่มีอิทธิพลต่อแนวทางการทำงานของเขาคนแรกคือทอม เชื้อวิวัฒน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายภาพบุคคลที่ชำนิมองว่าเป็นงานที่เนียนมากๆ ไม่ขัดเขิน “ สิ่งนี้เองที่ทำให้ผมเริ่มเรียนรู้ในแง่ของการเอากล้องเข้าไปถ่ายคน ทำหรือเริ่มคิดว่าทำอย่างไรให้สามารถเข้าไปถ่ายภาพคนเหล่านั้นได้โดยไม่สะดุด และทุกวันนี้ก็ยังชอบอยู่เลย ถ้าน้องๆ ค้นหาดูตามห้องสมุดก็จะเห็นว่างานภาพถ่ายบุคคลของคุณทอมจะมีความละมุนละม่อมมากๆ ส่วนช่างภาพต่างประเทศซึ่งใครๆ ก็ชอบก็คือช่างภาพฝรั่งเศส อองรี คาทีเยร์-แบรสซ็ง ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว หรือตากล้งในกลุ่มแม็กนั่มก็คือโรเบิร์ต คาปา หรือดอน แม็คคูลินที่เป็นช่างภาพสงคราม คือรุ่นนั้นเป็นรุ่นที่เราควรศึกษาเยอะๆ ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม เป็นช่วงที่การถ่ายภาพมีความรุนแรงทางด้านความคิดและการนำเสนอมากๆ เป็นความเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้เรามีข้อมูลเยอะ ”
ส่วนข้อแนะนำสำหรับใครก็ตามที่อยากจะทำงานเป็นช่างภาพมือใหม่ชำนิมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ คุณต้องระวังนิดหนึ่งว่า สถาบันเกี่ยวกับการเรียนการสอนถ่ายภาพนี้มันเพิ่งเกิดขึ้น ดังนั้นเรื่องบุคลากรบางทีอาจารย์ในยุคหนึ่ง ลึกก็มี กลางก็มี ตื้นก็มี ผิวก็มี องค์กรที่ผลิตบุคคลจึงจำเป็นต้องรู้ตลาดด้วย ดังนั้นจึงต้องผลิตให้ได้ ไม่ต้องมาก แต่ต้องให้ดี มันเป็นแรงผลักดัน และถ้ามีความสามารถจริงๆ ช่างภาพเหล่านี้ก็จะสามารถส่งออกตัวเองได้ เพราะถ้าเราเก่งจริงๆ เราสามารถนำตัวเองไปสู่ประเทศอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเรื่องของการโอเปอเรทเครื่องได้ ผมพิสูจน์ได้จากการที่มีคนต่างประเทศเข้ามาดูองค์กร เขาชอบมากๆ ซึ่งผิดกับองค์กรอื่นๆ นักเรียนที่คุณเห็น เพราะที่นี้เราต้องมาล้างใหม่ หนึ่ง สอง สาม สี่ เพราะฉะนั้นผมอยากให้องค์กร หรือใครก็ตามที่มีส่วนที่เกี่ยวข้อง ผลิตบุคคลให้ตรงกับสายงาน และแน่นอนที่สุดมีความหลากหลาย ”
________________________________________
ที่มา : นิตยสาร HI-CLASS
ข้อเขียนนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของนิตยสาร HI-CLASS ห้ามนำไปลอกเลียน ทำซ้ำ หรือ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย