อัศวิน โรจน์เมธาทวี

ตัวตนชัดเจน บนก้าวที่ท้าทายไปสู่ความสำเร็จ ของ อัศวิน โรจน์เมธาทวี “การเป็นผู้นำมักจะมีผู้ตามและผู้ตามมักจะทำการบ้านได้ดี ไม่มีใครอยากเป็นที่สองเสมอไปและที่หนึ่งก็ไม่ยั่งยืนเสมอไป การที่เราเป็นที่หนึ่งภารกิจเร่งด่วนที่สุดคือทำยังไงให้เราทิ้งระยะห่างกับที่สองให้คงที่หรือห่างไปอีก ตรงนี้ต้องทำให้มากและดีขึ้นเพราะคู่แข่งเค้าติดตามเราใกล้ชิดมากขึ้น”


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าจะเลือกเบียร์ซักยี่ห้อนึงมาดื่มเพื่อพักผ่อนคลายในวันสบายๆหรือวันที่ต้องปลอบประโลมใจ แบรนด์ premium แรกที่เรามักนึกถึงกันคือ “Hineken” นอกจากรสชาดระดับโลกแล้ว กุญแจที่นำพาไปสู่ความสำเร็จของเบียร์ระดับ premium คือการเอาใส่ใจในผลิตภัณฑ์และมองผู้บริโภคเป็นหลัก ทำให้ “Hineken” เป็นเบียร์ที่มีไลฟ์สไตล์ชนะใจผู้บริโภค จนก้าวมาอยู่อันดับหนึ่ง เบื้องหลังคนที่ถือกุญแจแห่งความสำเร็จดอกนี้คือคุณอัศวิน โรจน์เมธาทวี ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส “Hineken” บริษัท Thai Asia Pacific Brewery  ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความชัดเจนในตัวเอง

 

เส้นทางสู่ความสำเร็จ
ผมโลดแล่นบนเส้นทางการทำงานมา 12  ปี เป็นคนที่ค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่เรียนหนังสือ โชคดีตอนนั้นได้ทุน AFS ไปเดนมาร์ก ไปซึมซับเอาโลกอีกด้านนึงที่ไม่ได้คุยกันเรื่อง functionเท่าไหร่ คนเดนมาร์กเก่ง ค่อนข้าง balance  เค้าจะมีเรื่องของศิลปวัฒนธรรมที่ค่อนข้างน่าสนใจ ไปเรียนรู้เยอะ กลับมาไม่ได้ entrance เลยไปเรียนเอแบคเพราะอยากเรียนภาษาอังกฤษ คิดว่าในอนาคตมันต้องสำคัญ เราอุตสาห์ได้ทุนก็ไปเรียน แม่บอกถ้าไม่เอนท์ไปเรียนเอแบคก็จ่ายเงินเอง ก็กู้เรียน ทุกวันนี้ยังจ่ายคืนอยู่ วันที่เข้าไปเรียนเอแบคเนี่ยตัดสินใจไปเรียนบริหารธุรกิจเพราะวันนั้นเอแบคแข็งแรงที่สุดตรงนี้  เลือก major บริหารการตลาด วางไว้แล้วว่าในอนาคต 5 ปี 10 ปี ผมจินตนาการว่าตื่นมาเนี่ยผมหนีไม่พ้นวงการ advertising  agency หรือการตลาดนั่นคือที่มาที่ไป พอเข้ามาในวงการก็ชื่นชอบในสิ่งเหล่านี้ ผมมองว่าศิลปวัฒนธรรมหรือการตลาดมันหนีไม่พ้นด้าน cultur ด้านศิลปะ ด้านการตลาดเป็นสิ่งที่เราชอบส่วนตัวด้วย มีแรงบันดาลใจมาจากที่บ้าน พ่อผมอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็กแล้วไม่ได้เรียนต้องมาเรียนบัญชี ผมเลยเติบโตมากับศิลปะ ที่บ้านจะมีผลงานของพ่อ ทั้งงานปั้น งานวาด งาน paint ผมซึมซับมาตลอด แถมพ่อผมยังเป็นนักดนตรีด้วย ทำให้รู้สึกว่ามันซึมซับเข้ามาเป็นเบื้องหลังผม

เวลาเราทำงานเราก็ไม่ใช่ marketing  แบบตัวเลขจ๋าอย่างเดียวเรามองหลายอย่าง ผมว่าการตลาดมันคือส่วนผสมระหว่างศิลปะกับวิทยาศาสตร์มันต้องประกอบกัน ถ้าคุณจะวิทยาศาสตร์จ๋าเลยมันก็ไม่ใช่ ผมว่ามันต้อง balance กัน ถ้าถามว่าทุกวันนี้มัน success ไหมผมมองว่าเราต้องมี visions เราต้องมองข้างหน้าให้ขาดว่าจริงๆแล้วตัวเราเองอยากเป็นอะไรอยากทำอะไรก่อน ผมว่าวันนั้นผมมองไม่ผิดจนมาถึงวันนี้

ภารกิจหลักขององค์กรในส่วนที่คุณรับผิดชอบอยู่มีส่วนไหนบ้าง
ทุกวันนี้ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผมดูแลเรื่องแบรนด์ เรื่องตราสินค้า บริหารการสื่อสารว่า direction ของแบรนด์จะทำยังไง แบรนด์นี้จะโฆษณาในประเทศนี้ต้องทำยังไง แบรนด์นี้จะมีกิจกรรมจะทำ sponsorship จะมี event direction ทิศทางแบบไหนที่จะเหมาะสมกับผู้บริโภค หรืออิทธิพลทางด้านศิลปะดนตรีต่างๆในประเทศนี้เป็นยังไง แล้วเหมาะสมกับแบรนด์ไหม หรือถ้าเหมาะสมมันแบบไหน โดยเฉพาะให้มันสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็น premium เราก็เห็นอยู่แล้วว่ามีคู่แข่งหลายรูปแบบแต่ละคนจะมีทางเดินของตัวเอง แต่ว่าเวลาHinekenเดินHinekenต้องเดินขึ้นมาอีกสเต็ปนึง เพราะว่าหนึ่งเราเป็นผู้นำ สองเราเป็นแบรนด์ที่ premium กว่าคนอื่นเราต้องมี cap การเป็นผู้นำมันต้องทำก่อนวิ่งไปก่อนแล้วหันหลังมามันต้องมีคนอื่น แต่ถ้าผู้นำเห็นมีคนอยู่ข้างหน้าแปลว่าไม่ใช่แล้ว ผมจะดูแลตรงนี้ ส่วนที่เหลือก็จะเป็นการประสานงานและพัฒนาชิ้นงานต่างๆคู่กับทางเมืองนอกคือ Hinekenที่ Amsterdum

ประสบการณ์ที่ผ่านมาสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานในช่วงเวลานี้ได้ดีเพียงใด
เอาแบบแฟร์ๆไม่เห็นแก่ตัว คิดว่าแค่ดี ยังไม่ดีมาก ถ้าดีมากก็ไม่มีช่องว่างให้เราปรับปรุง เนื่องจากผมเริ่มสายงานมาจากอยู่ advertising agency มาก่อนแล้วก็มาอยู่ marketing  5-6 ปีหลัง คิดว่ามี balance เพราะเราได้ห็นทั้งสองอย่าง เราเป็นทั้ง agency แล้ววันนี้เรามาเป็นลูกค้าเราก็มี balance เวลาเรามองงานตัดสินงานเราจะจินตนาการได้ ผมก็ไม่ใช่พวก marketing จ๋า แต่ในเวลานี้การแข่งขันมันสูง โดยเฉพาะแอลกอฮอลล์มันไม่ใช่แค่ทำโฆษณาก็จบ มันมีช่องว่างมันมีกฎข้อบังคับมันทำให้เราต้องตื่นตัวอยู่เสมอต้องครีเอทีฟมากขึ้น ต้องหาทางออกในกรอบที่ไม่ผิดกฎหมาย ทำอย่างไรให้อยู่ในกรอบแบบสร้างสรรค์เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็น room ที่เราจะพัฒนาได้อีก ผมก็คิดว่าผมให้แค่ good ยังไม่ excellent

ภารกิจเร่งด่วนและความจำเป็นตอนนี้ที่ต้องเร่งดำเนินงานคืออะไร
ผมว่าทุกวันนี้ในการเป็นผู้นำมันมักจะมีผู้ตาม แล้วผู้ตามมักจะทำการบ้านได้ดี มันคือตลาดการแข่งขันเสรี คือเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว ผมว่าไม่มีใครอยากเป็นที่สองเสมอไปและที่หนึ่งก็ไม่ยั่งยืนเสมอไป เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเป็นที่หนึ่ง ภารกิจเร่งด่วนที่สุดก็คือต้องทำยังไงให้เราทิ้งระยะห่างกับที่สองให้คงที่หรือห่างไปอีก ผมว่าตรงนี้ต้องทำให้มากขึ้นและทำให้ดีขึ้นเพราะว่าคู่แข่งเค้าติดตามใกล้ชิดมากขึ้น
ถ้ามองย้อนกลับไปจากจุดเริ่มต้นเนี่ยในด้านวิชาชีพเนี่ย คุณคิดว่าวิสัยทัศน์และการมองโลกเปลี่ยนไปมากไหม

ผมว่าเปลี่ยนไปเยอะโดยเฉพาะพักหลัง คือเวลาเรามาอยู่จุดนี้มันก็สนุก แต่เวลาเรากลับไปอยู่ในจุดที่เราอยู่บางทีผมก็ไปสอนหนังสือที่เอแบคบ้าง บางทีก็ไปเป็นเกสวิคเกอร์ในงาน Conference หรือ seminars ต่างๆบางทีก็ไปคุยกับเด็กนักศึกษา บางทีก็ไปคุยกับคนที่เป็น professional ในสายอาชีพใกล้เคียงกัน บางทีก็ไปพูดโดยไม่ได้หวังอะไร แต่เราคิดว่าเราไปแชร์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นคือการเปิดโลกตัวเอง พอมองอย่างนี้ปุ๊บเราจะเห็นว่ามันสำคัญที่จะมองไปให้ไกล การมองไปให้ไกลต้องมองแบบไม่เห็นแก่ตัวต้องรู้จักที่จะเอาไอดียมาแชร์ การที่ผมมองว่าผมได้กลับไปสอนหนังสือบ้างได้ไปแชร์ seminars นี่มันคือการได้ brauze ไอเดีย เราจะได้ความคิดใหม่ๆเพราะฉะนั้นการมองแบบนี้มันจะทำให้เราเป็นผู้นำที่ไม่คร่ำครึ ไม่ใช่เรามองอยู่ในโลกของเรา ว่าชั้นเป็นผู้นำที่หนึ่งแล้ว เหมือนสมัยก่อนพวกที่สอบได้ที่หนึ่งก็เออไม่สนใจ แป๊บนึงก็มีคนท่องหนังสือเก่งกว่าชนะไปเพราะฉะนั้นบางทีเราก็ต้องรู้ว่าคนอื่นเขาทำอะไรกัน

ปรัชญาที่นำองค์กรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายคืออะไร
ผมว่าองค์กรไทยเอเชียแปซิฟิคบิวเวอรี่เนี่ยชัดเจน สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เรื่อง quality  ไม่ใช่แค่คุณภาพของสินค้า คุณภาพทุกอย่างเกิดขึ้นจาก passion ถ้าเรามี passion เราทำสิ่งไหนก็ได้ เหมือนกับผมถ้าผมไม่มี passion ปัจจุบันผมคงไม่มาถึงจุดนี้ เส้นทางที่ผมมามันไม่ได้เป็นทางลาดยางมันก็ขรุขระเหมือนกัน ตราบใดที่เรามี passion เราอยากจะเป็นแบรนด์ที่หนี่งเราก็ทำได้ เราเป็นที่หนึ่งแล้วเราอยากเป็นที่หนึ่งให้มากขึ้นถ้าเรามี passion เราทำได้ ด้วยประสบการณ์ของผมเนี่ยไม่ได้สูงมากถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นในวงการทางการตลาดหรืออายุการทำงานใดๆก็ตาม แต่ถ้าเรามี passion เนี่ยผมว่ามันจะลบล้างบรรทัดฐานเก่าๆเช่นต้องมีประสบการณ์ ต้องเป็นคนอายุแก่ๆ ผมว่าเดี๋ยวนี้เราเห็นว่าผู้บริหารยุคใหม่ยังเด็กหนุ่มแน่นไฟแรง จะไม่ใช่คนที่มีอายุเยอะแล้ว ผมว่ามาถึงจุดนี้ได้องค์กรเราdrive ด้วยแพทชั่นควอลิตี้ เพราะฉะนั้นเบียร์ที่เราทำไม่ว่าจะแบรนด์ใดก็ตามในองค์กรทุกคนมุ่งมั่นในการที่จะทำตรงนี้หมด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการตลาด ฝ่ายการสื่อสาร ฝ่ายผลิตเองก็ตาม เพราะฉะนั้นเบียร์เราโดยเฉพาะ hineken เองเนี่ยแพทชั่นฟอร์ควอลิตี้สำคัญมากนั่นคือ comsystem ไม่ว่าคุณจะไปกินที่ไหน 170 กว่าประเทศทั่วโลก quality เดียวกัน

ปรัชญาที่นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตของคุณคืออะไร
คำๆเดียวใช้มาตลอดนั่นคือ ดอท แปลว่าเราคือจุดนึงเล็กๆ simple นะ บางคนเวลามาถึงจุดนี้ก็ชั้นแจ๋ว ชั้นใหญ่ ชั้นเก่าแล้ว ผมว่าไม่ใช่ เหมือนที่ผมกลับไปสอนหนังสือผมเห็นเราก็เป็นแค่คนๆนึง ถ้าเราอยากจะพัฒนาและอยากจะก้าวไปข้างหน้าเราก็ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ผมมักจะมองตัวเองอยู่เสมอว่าเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในโลกนี้เราตัวเล็กนิดเดียวเอง ในบริษัทนี้ระหว่างพนักงาน 200 กว่าคนผมก็เป็นแค่คนนึง ผมไม่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างได้เพียงคนๆเดียว ผมจะทำcampaignผมก็ต้องอาศัยแนวร่วม แผนกการสื่อสาร แผนกpr  แผนกsale แผนก thread ทุกคนต้องร่วมกับผมแต่จุดๆนึงสามารถอินโพรเว้นท์ให้เกิดการร่วมมือได้ เพราะฉะนั้นก็น่าสนใจว่าจุดๆนึงมันจะไปได้ไกลแค่ไหนถ้ามันคิดว่าเป็นจุดเสมอ เพราะยังไงผมก็ไม่มีทางโตใหญ่กลายเป็นโลกหนึ่งใบได้อยู่แล้ว ต้องร่วมกัน

มีฮีโร่หรือแรงบันดาลใจจากอะไรในการทำงานหรือการดำเนินชีวิต
ฮีโร่หรือแรงบันดาลใจมีหลายรูปแบบ ถ้าฮีโร่ในปัจจุบันนี้คือ สตีฟ จอบส์ แต่ผมมีฮีโร่อีกคนนึง เค้าเป็นเพื่อนสนิทของ บิลล์ เกตส์ เป็นคนในสายไฟแนนท์การลงทุนการเงิน ชื่อ วอร์เรน บัฟเฟตต์  เป็นพวกลงทุนในแง่ของหุ้นInvestmentbankerอะไรทำนองนี้ ถ้าพูดถึงเนี่ยมี visions ผมว่าคนนี้แข็งแรงที่สุดในโลก ทำให้บิลล์ เกตส์ เป็นบิลล์ เกตส์ ได้ ยิ่งกว่าบิลล์ เกตส์ อีก ผมว่าคนนี้เจ๋ง ผมอ่านหนังสือเขาหลายเล่มแล้วก็หนังสือที่เกี่ยวกับตัวเขาด้วย เวลาเค้ามองโลกเค้าจะมองไม่เหมือนคนอื่น เวลาเล่นหุ้นเค้าจะบอกว่าทุกคนที่กระโดดลงไปในตลาดหุ้นเนี่ยต้องกำไรวันนี้ซื้อปุ๊ปบ่ายได้กำไรเลยหรือสามเดือนห้าเดือน บัฟเฟตต์บอกไม่ คุณใจเย็นๆ คุณซื้อหุ้นวันนี้ 10 หุ้นวันพรุ่งนี้ราคามันตกทุกคนต้องรีบซื้อเลยซื้อเพิ่มอีก คนจะมองว่าบ้ารึเปล่าทำไมตกแล้วซื้ออีก หลักการก็คือการที่คุณซื้อเพิ่มอีกเวลาที่ราคามันตกแล้วเอามารวมกับหุ้นเก่าที่ซื้อเมื่อวานทำให้ฐานเฉลี่ยเนี่ยมันต่ำลงทั้งหมด คุณมองดีๆถ้าคุณมองทุกอย่างคุณมองเป็นลองเทอมอย่าไปหวังอะไรฉาบฉวย เหมือนที่ผมมองว่าเรียนมาเดี๋ยวก็ไปจบที่โฆษณา advertising ก็จบแล้วชีวิตนี้ แต่ผมมองระยะยาว ระยะยาวผมมองว่าชีวิตผมไม่ได้จบอยู่ที่องค์กรที่เป็น corporation ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของปิรามิดก็ไม่ใช่ผม จริงๆแล้วผมเล็งไปไกลกว่านั้นว่าจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นช่วงหล่อหลอมเหมือนเราหล่อเทียนพรรษาใช้เวลาหน่อย ไม่ใช่เทียนเล่มเล็กเราต้องใช้เวลา

มีจุดยืนในการทำงาน ณ บทบาทตรงนี้ไหม
มองว่าตำแหน่งนี้มันท้าทาย สมัยก่อนบริษัทนี้องค์กรเป็นลักษณะเป็นบ้านหลังๆไป มีสามแบรนด์ Hineken,Tiger,Cheer แต่ละหลังก็มีพ่อบ้าน พ่อบ้านคนใหญ่สุดก็คือ marketing managercคนรองก็เป็น brand manager คน supportก็เป็นแอสซิสซั่นแบรน์อะไรอย่างนี้ พ่อบ้านก็แอพพรูฟทุกอย่างใหญ่สุดดูแลลูกบ้านดูแลทั้งหมด เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้วบ้านหลังนี้มีผมคนเดียว ผมดูแลแบรนด์นี้คนเดียวที่เหลือเป็น support unit  เป็น support team แต่ว่าผมมี treat ที่ผมทำงานคนเดียวที่เหลือคือทีมผม แอคทีเวชั่นทีม คอมมูนิเคชั่นทีมถูกไหม ทุกคนเป็นทีมหมด เทรดทีม แต่ว่าการประสานงานก็จะคนละแบบเพราะว่าเขาไม่ใช่ลูกน้องเราถูกไหม

ผมมองว่าวิสัยทัศน์ทุกอย่างเราเป็นดอท ถ้าเราเป็นดอทเราแล้วเราอินเทรนด์ให้เค้าได้ก็จะแฮปปี้แต่ถ้าเราไปชี้นิ้วสั่งเขาก็คงไม่มีใครทำ เพราะฉะนั้นมองว่าการที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้เนี่ยการชาร์เรนจ์ในแง่ของทีมเวิร์คสำคัญ ผมเชื่อเสมอว่าทีมเวิร์คสำคัญไม่มีวันแมนโชว์สำหรับผม ทุกวันนี้ที่เกิดงานทุกวันนี้ขึ้นมาได้ก็คือทีมงานทั้งหมดร่วมกันปาร์ตี้ด้วยซัพพลายเออร์เอเจนซี่ที่เราใช้ถ้าไม่มีก็ไม่มีเราไม่มีผมที่ขึ้นไปพูดบนเวทีวันนี้ ไม่มีconceptที่เกิดมาเพราะฉะนั้นเราจะ value เสมอ อย่างวันนี้ทำไมเราเอาศิลปินขึ้นไปพูด พาร์ทเนอร์ ต้องมาเพราะว่าเราทำคนเดียวไม่ได้เราต้องมีคนอื่น ถัดมาก็คือ เนื่องจากในแคททิกอร์รี่พิเศษเนี่ยมันเป็นแอลกอฮออล์ ก่อนที่ผมจะรับตำแหน่งเนี่ยมันค่อนข้างทัพอยู่แล้วมันไม่สวยหรูเหมือนสมัยก่อนทำโฆษณาก็ยิงบิลล์บอร์ดไปหกเดือนออกหนังซักห้าเดือนก็สวยหรูแต่ทุกวันเนี้ยผลที่เราทดสอบการวิจัยการตลาด feedback consumer ผลที่ได้รับกลับมามันค่อนข้างหินมากโหดมาก เพราะว่าเราทำแบบนั้นไม่ได้แล้วเราเอาเงินหว่านไป หวังว่าจะได้ผลแบบmassไม่มีแล้ว ผู้บริโภคก็เปลี่ยน ตัวผมชอบอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วเทคโนโลยีอะไรหรือกระแสสังคม ผมเชื่อว่าตำแหน่งนี้มันท้าทายกว่าก็คือ ถ้าคุณเป็น Marketing Manager Hineken แล้วคุณตามเทรนด์แปลว่าคุณตกเทรนด์แล้วเพราะถ้าคุณเป็นผู้นำถ้าคุณตามแปลว่าคุณช้าไปหนึ่งก้าว คุณต้องเป็นคนนำเสนอสิ่งใหม่ๆให้คนอื่นนั่นคือสิ่งที่เรามูฟฟอร์เวิรด์แล้วก็ในแง่ของ Hineken ทั่วโลกเองก็เป็นแบบนั้น ลองนึกภาพดูว่า Hineken มาจากเมืองเล็กๆเมืองนึงในยุโรป Amsterdum  แต่ทุกวันนี้ Hineken เนี่ยเป็นแบรนด์ที่เกือบจะใหญ่ที่สุดในโลกมีขาย 170 ประเทศ ถ้าครอบครัวhineken สมัยก่อนคิดเล็กๆก็จะขายแต่ใน Amsterdum เหมือนกรุงเทพก็ขายไปสิ เราจะเห็นว่ามีเบียร์หลายยี่ห้อในยุโรปที่ก็อยู่ เวลาไปเยอรมันก็บอกว่าเบียร์ยี่ห้อนี้ดังมากมันก็อยู่ในเยอรมันทั้งๆที่สมัยก่อนครอบครัวHinekenก็ไม่ได้ใหญ่ น้ำก็มาจากลำธารและทุกวันนี้ใหญ่ใช่ไหม ผมมองว่าสิ่งนี้สำคัญถ้าเรามองให้ออกและมีวิสัยทัศน์ว่าเราจะไปไหนชัดเจน

กิจกรรมที่ Hineken จัดส่วนใหญ่จะเป็นดนตรีแฟชั่นที่ผสมผสานกัน อยางล่าสุดก็อาจจะมีเกี่ยวกับด้านภาพยนตร์ ในอนาคตต่อไปจะมีกิจกรรมที่ไปเกี่ยวกับทางด้านอื่นไหมอย่างเช่นจิตรกรรม ประติมากรรม หรืออาจจะพลิกไปเป็นศิลปวัฒนธรรมไทยสมัยก่อนเลย
ถ้าเป็นไทยในสมัยก่อนเลยคงไม่มี แบรนด์นี้ต้องการที่จะโปรเจ็คในเรื่องของอินเตอร์เนชั่นแนลแล้วก็อินเตอร์ เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าไปทำอะไรกับแบรนด์หรือสิ่งที่เป็นไทยๆอาจจะไม่ใช่เรา ถ้ามองไปไกลกว่านั้นสเต็ปต่อไปก็อาจจะเป็นแฟชั่นหรือพวกดีไซน์ คำว่าดีไซน์มันค่อนข้างใหญ่อาจจะเห็นเราเยอะขึ้นในวงการนี้ เพราะว่าเป็นวงการที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคนในประเทศไทย เวลานี้ดีไซน์กำลังมาคริสตัลดีไซน์เซนเตอร์เกิดขึ้นมาเบ้อเริ่ม ใครคิดว่ามีคนกล้าไปลงทุนขนาดนั้นและใหญ่ได้ขนาดนี้ TCDC สาขาดีไซน์นักการจัดการที่เติบโตขึ้นเยอะมาก ใครๆเอะอะอะไรก็จะดีไซน์กันหมดเราก็ไม่ได้บอกว่าเราจะกระโดดเข้าหาดีไซน์แต่ผมมองว่าบุคคลที่จะมีอิทธิพลส่งผลต่อวงการดีไซน์ผมว่ามีเยอะมากและในอนาคตถ้ามองแบบHineken วงการดีไซน์ก็จะเจอเรามากขึ้น

อนาคตข้างหน้าได้วางแผนกับตัวเองไว้อย่างไร
มองไว้แล้ว ชัดเจนมากว่ามีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ว่ายังไม่ถึงอายุนั้น จริงๆแพลนไว้ว่าอีกประมาณ 5 ปี

จัดสรรเวลาทำงานดูแลตัวเองและครอบครัวอย่างไร
ช่วงก่อนจัดสรรไม่ค่อยดี แต่ช่วงหลังสองสามปีที่ผ่านมาเริ่มจัดสรรได้ดีขึ้น ผมคิดว่างานก็คืองาน ส่วนตัวก็คือส่วนตัว ถ้าเราไม่จัดเวิร์คไลฟ์บาลานส์ให้ดีตรงนี้เนี่ย ผมว่าตัวเราเองไม่มีความสุข ถ้าวันไหนที่เราเริ่มไม่มีความสุขผมว่าคนรอบข้างเราเริ่มมีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่บ้าน ถ้าเราอยู่บ้านมากไปทำงานน้อยไปคนในออฟฟิศก็ไม่แฮปปี้แล้ว เวลาเราต้องการคุณ เวลาเราต้องมีคุณ คุณไม่อยู่ เหมือนกัน เวลาเรากลับไปบ้านไม่เจอคนที่บ้านเลยทำแต่งานผมว่าไม่ใช่ ถ้ามันมีโอกาสที่จะทำงานเยอะไม่ปฎิเสธอยู่แล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบนอน อาจจะเป็นมนุษย์ประหลาด คิดง่ายๆเป็นสมการแบบเบสิค สมมติว่าคนอื่นทุกคนทำงานวันละแปดชั่วโมงแต่ถ้าผมทำงานวันละสิบชั่วโมงผ่านมาสิบปีผมเอาสองชั่วโมงเอ็กซ์ตร้าคูณสิบ แปลว่าอายุงานผมมากกว่าคนอื่นรึเปล่านั่นคือวิสัยทัศน์ที่ผมมอง เราอยู่ในวงการนี้มันไม่ใช่แปดโมงถึงห้าโมงไม่ใช่เรื่องจริงอยู่แล้ว ไม่มีใครมาตอกบัตรแล้วก็ไม่มีใครทำงานแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอยู่ที่ตัวเราว่าเราค้นคว้าขวนขวายเพิ่มเติมรึเปล่า แล้วสมัยนี้มันง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะจะหาข้อมูลจะหาแรงบันดาลใจจะคุยกับใคร เราอีเมล์เราเฟสบุ๊คแป๊บเดียวเราก็จะเห็น ของHinekenเองเราก็มีเน็ตเวิร์คอยู่ทั่วโลกเหมือนกันเราต้องการอะไรแรงบันดาลใจจากเมืองนอก ใครทำโปรเจ็คอะไรยิงปังเดียวเดี๋ยวมาแล้วโลกในอนาคตมันคงถูกหล่อหลอมด้วยเน็ตเวิรค์ โซเชียลเน็ตเวิรค์ที่เราคุยกันเนี่ยมันเป็นส่วนเดียวแต่จริงๆเน็ตเวิรค์มันคือคำที่แข็งแรงในอนาคต มันเหมือนตอนนี้เราต้องบิวท์คอนเนคชั่นเรามีคอนเนคชั่น คอนเนคชั่นอาจจะพาเราไปจบที่ไหนก็ได้ และมันคือเซอร์ไพรซ์ ทุกวันนี้ที่ผมเข้ามาที่นี่ก็ไม่ใช่แค่เพราะว่าผมอยู่ในสายนี้มาผมมีคอนเนคชั่นรู้จักคน ไม่ใช่ว่าเราใช้คอนเนคชั่นแบบใช้เส้นแต่การรู้จักคนเนี่ยทำให้เราได้เปิดโลกใหม่ขึ้น เมื่อเรามีคอนเนคชั่นรู้จักนัดเจอกินข้าวกันพูดคุยกันโลกเราก็เปิดแล้ว เจอคนเยอะขึ้นมีมุมมองที่กว้างขึ้นตรงนี้สำคัญ

กิจกรรมยามว่างที่โปรดปราน
ตอนเด็กเคยวาดฝันอยากเป็นสถาปนิก มีอยู่สองสามอย่างกิจกรรมยามว่าง อันที่หนึ่งชอบทำ DIY คือที่บ้านจะทำอะไรเองหมด อย่างบ้านผมซื้อมาผมก็จะถลกทุกอย่างออกหมดเพราะซื้อบ้านจัดสรร ดีไซน์ออกแบบตกแต่งเอง บางทีก็ลงมือเอง ก่อกำแพงอิฐผมมักจะทำเองเพราะว่าอย่างที่รู้กันอยู่ถ้าจ้างช่างทำเราไม่ได้มีสตางค์ที่จะจ้างช่างที่มีระดับมาก เรามักจะหงุดหงิดถ้าผลสุดท้ายต้องมาสั่งรื้อ ถ้าเราเรียนรู้ว่าทำเองมันสนุก DIY เนี่ยชอบมาก ที่บ้านมีเครื่องมือทุกอย่าง ถ้าไปดูคิดว่าเป็นช่างรึเปล่า ที่เหลือเป็นไลฟ์สไตล์อื่นที่หลงไหลมานานแล้วเช่น ดำน้ำสคูบ้าไดฟ์วิ่ง ผมดำมาประมาณแปดปีแล้ว ดำในยุคแรกที่เขาไม่ดำกัน จนทุกวันนี้ใครๆก็ดำน้ำ ก่อนสึนามิครั้งแรกในประเทศไทยผมก็ดำ ตอนสึนามิผมเกือบไม่รอดโชคดีเรือไม่เต็มเค้ายกเลิกทริปเลยไม่ได้ไป สคูบ้าไดฟ์วิ่งเองก็สร้างconnectionเยอะเหมือนกันคนที่ไปดำน้ำสมัยนั้นเนี่ยไม่ได้เกี่ยวว่าคนมีสตางค์หรือไม่แต่เกี่ยวกับคนที่บ้า บางทีก็ไม่มีตังค์หรอกเก็บตังค์เพื่อไปสมัยก่อน พอไปแล้วเราไปเจอคนกลุ่มใหม่ๆอยู่บนเรือในมหาสมุทรห้าวันสี่คืนโดยไม่เข้าฝั่ง มันคือไลฟ์สไตล์ สมัยนั้นไม่มีใครไปดำหรอกพ่อแม่ไม่ให้ไปแต่เราจะไป ที่เหลือจะเป็นไลฟ์สไตล์เบสิค ดูฟุตบอล ดูบอลมาตั้งแต่ประถมสี่ แล้วก็เป็นการตระเวนเสพศิลปวัฒนธรรมต่างๆเพราะชอบอยู่แล้วจะหลงใหลฝั่งเมืองเก่ารัตนโกสินทร์ขับรถไปดูบางทีก็ไปถ่ายรูปตึกเก็บไว้เยอะเหมือนกัน

 

You may also like...