ไตรภพ ลิมปพัทธ์ – Legendary TV Host

จุดเปลี่ยนในชีวิตผมมีอยู่จุดเดียวไม่มีจุดอื่นเลย ตอนสอบเอนทรานซ์ผมเลือกวิศวะทั้ง 6 อันดับ ผลปรากฏว่าสอบเข้าไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดมากและโมโหชีวิต โมโหไปทุกอย่างแต่ไม่โมโหตัวเอง โทษทุกอย่างแต่ไม่โทษตัวเอง กลับมาบ้านมีพระอยู่องค์หนึ่งห้อยอยู่ที่คอองค์ที่ใส่จนปัจจุบันนี้ ไม่รู้จะโทษอะไรหันไปหันมาเอาพระที่ห้อยอยู่ถอดออกมาแล้วก็ทิ้ง ในใจตอนนั้นมีความรู้สึกว่าก่อนจะไปสอบก็ขอแล้วแค่นี้ก็ช่วยไม่ได้ ไม่นับถือแล้ว ในวินาทีเดียวกันนั้นก็เกิดยูเรก้าที่เรียกว่าเป็นตัวรู้เกิดขึ้นมาบอกว่า ทั้งหมดที่ทำ ทั้งหมดที่เป็นอยู่นี้มันผิด ในชีวิตนี้จะไปหวังให้ใครช่วยเรานั้นเป็นไปไม่ได้ ใครทำอะไรก็ต้องได้สิ่งนั้น ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมาก็เข้าใจว่าถ้าอยากได้อะไรสักอย่างในชีวิตต้องได้จากที่เราทำเอง ไม่ใช่ได้จากความฝัน ความหวัง ความศรัทธา วันนั้นเป็นวันเดียวที่รู้สึกว่าทำอะไรก็ได้สิ่งนั้น ตั้งแต่นั้นมาในชีวิตก็จะไม่มีเรื่องดีใจ เสีย พิสดาร อะไรอีกเลย

 

 

จากวันนั้นจนกลายมาเป็นคนเบื้องหน้าใช้เวลานาน ผมเรียนรามคำแหงอีก 3 ปีกว่า แล้วไปเป็นทนายความอีกหลายปี กว่าจะมาเป็นพิธีกรอีกเป็น 10 ปี ไม่มีทางที่เปลี่ยนปุ๊บแล้วทุกสิ่งจะมาตามที่เราตั้งใจ เวลาที่เปลี่ยนคือเปลี่ยนความคิด เมื่อเปลี่ยนความคิดก็เปลี่ยนพฤติกรรม ไล่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ค่อย สร้างรากฐานใหม่ให้กับชีวิตตัวเองไปเรื่อยๆ จากคนเดิมที่คิดเฮงซวย คิดไม่เอาอ่าว คิดไม่เอาไหน ก็ค่อยๆ เริ่มเป็นคนที่มีความคิดขึ้น คิดในเรื่องที่ทำได้และทำไม่ได้ คิดในเรื่องที่เราต้องทำอะไรบ้าง และคิดในเรื่องที่ว่าแม้ทำอย่างเต็มความสามารถที่สุดแล้วก็ไม่ได้มาก็มี เพราฉะนั้นต้องเข้าใจทั้งหมด ค่อยๆ ไล่เข้าใจมาเรื่อยๆ แต่นั่นคือจุดที่ทำให้มีความเข้าใจชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปมัวแต่หวังอะไร

ผมพยายามทำงานที่เปิดโลก หรือเปลี่ยนชีวิตให้คนอื่นๆ ด้วยความพยายาม อาจจะมาจากเหตุผลที่ว่าตัวเองก็ประสบมากับสิ่งเหล่านี้ พยายามพูด อธิบาย หรือบอกเขาเท่าที่เรามีโอกาสและเข้าใจได้ว่า ชีวิตมันเป็นแบบนี้ พื้นฐานเข้าใจง่ายมากแต่เราพยายามไม่เข้าใจมัน เราพยายามจะโทษทุกสิ่งทุกอย่างในโลกยกเว้นตัวเอง!

 

กับคำว่าแมวเก้าชีวิตนั้นผมคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงของชีวิต ไม่ใช่สำหรับผมคนเดียวแต่เป็นของทุกคน มีคนมักจะพูดให้ได้ยินบ่อยๆ ว่าคนนั้นจบแล้ว คนนี้จบแล้ว แต่เชื่อผมเถอะมันจบจริงๆ เมื่อตาย ถ้าไม่ตายยังไม่จบ และผมพบกับชีวิตตัวเองแล้วว่าถ้าไม่ตายก็ยังไม่จบ

 

ความสำเร็จกับผมมันผ่านไปนานแล้ว มันไม่มีอีกแล้ว ผมไม่เข้าใจมันอีกแล้ว เมื่อก่อนผมก็คิดว่าเราจะทำอะไรก็ต้องวิ่งไปถึงเส้นชัยให้ได้จึงจะเป็นความสำเร็จ ฉะนั้นตลอดเวลาการวิ่งของผมก็วิ่งตลอดตั้งใจวิ่งอย่างเดียวเพื่อให้ไปถึงเส้นชัยให้ได้ แล้วผมก็พบความจริงว่าวินาทีที่มันผ่านเส้นชัยเป็นวินาทีเดียว กับตลอดเวลาที่สิ่งมามันเหนื่อยต่างกันตั้งเยอะ ทำไมไม่ใช้เวลาที่วิ่งให้มันมีความสุขเหมือนกับทุกวินาทีมันเป็นความสำเร็จของชีวิต ฉะนั้นวิธีคิดเดิมของผมผิดผมจึงไม่คิดอีกแล้ว จึงคิดว่ามันไม่มีจริงเมื่อวิ่งสนามนี้เสร็จก็ต้องวิ่งสนามหน้า วิ่งสนามนู้นอีก ต้องวิ่งไปเรื่อยๆ สำหรับผมมันไม่มีจริงอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นทำทุกวินาทีให้มีความสุขดีกว่า

 

ถ้ามีคนถามผมว่ามีความสุขไหมกับงาน  หรือมีความทุกข์ไหม ตอบได้ว่าไม่มี สุขก็ไม่มีทุกข์ก็ไม่มี ผมทำตามหน้าที่ เมื่อหน้าที่ผมจบแล้วก็จบกัน ผมทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนมันชินและไม่รู้สึกพิสดารกับมันอีกแล้ว

 

ใครก็ตามที่อานข้อเขียนนี้ เชื่อผม ไม่ต้องเชื่อหลายอย่าง เชื่อว่าความยิ่งใหญ่ที่สุดจริงๆ ไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่มันอยู่ข้างใน เมื่อคุณทำทั้งหมดข้างในให้ยิ่งใหญ่ให้ได้แล้วข้างนอกจะเล็กนิดเดียว โลกทั้งโลกจะเหลือเท่ากับลูกหินลูกเดียวเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณทำให้ข้างในใหญ่ไม่ได้ปัญหาเล็กนิดเดียวอาจจะใหญ่เท่ากับโลกนี้ทั้งโลกก็ได้ เมื่อทุกอย่างเล็กนิดเดียวหมดอะไรล่ะจะมีความหมาย มันจะไม่มีอะไรมีความหมายอีกเลยก็โลกทั้งโลกยังเท่าลูกหินแล้วอะไรจะมีความหมาย อย่าพยายามสร้างความหมาย พยายามทำให้ข้างในยิ่งใหญ่มีค่ามากกว่า

 

 

_________________________________

ที่มา : นิตยสาร HI-CLASS

ข้อเขียนนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของนิตยสาร  HI-CLASS  ห้ามนำไปลอกเลียน ทำซ้ำ หรือ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

You may also like...