อมเรศ ศิลาอ่อน ย้ำ ทำดีแล้ว อย่าหวั่นไหว

หนังสือชีวประวัติที่เน้นสิ่งที่ควรระลึกอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรถึงจะทำความดี ละเว้นความชั่ว สำนักพิมพ์นิตยสารแพรว สำนักพิมพ์คุณภาพในเครือบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดตัวหนังสือ ทำดีแล้ว…อย่าหวั่นไหว

ชีวประวัติของคุณอมเรศ ศิลาอ่อน เรื่องราวของคนจริงที่สร้างผลงานอันเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง แม้ต้องเผชิญกับอิทธิพลต่างๆ ก็ไม่หวั่นไหวในการทำความดี พร้อมร่วมรับฟังเสวนาเกี่ยวกับหลักคิดของ คุณอมเรศ ศิลาอ่อน ถึงสิ่งที่ควรระลึกอยู่เสมอว่าทำอย่างไรจะทำความดี เว้นความชั่ว ไม่ทำบาป ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ถ้าเราทำได้อย่างนี้ตลอดชีวิต จะทำให้ทั้งชีวิตมีความสุขมากกว่ามีทุกข์ โดยมี ดร.จุรี วิจิตรวาทการ, สุภาพรรณ พิชัยรณรงค์สงคราม, ม.ล.สมพงษ์วดี วิกิตเศรษฐ์ และภัทรา ศิลาอ่อน ร่วมเสวนา นอกจากนี้ยังมีอานันท์ ปันยารชุน, นายแพทย์อุรพล-คุณวันเพ็ญ บุญประกอบ ฯลฯ ร่วมเป็นเกียรติในงาน ณ เอสแอนด์พีฮอลล์ สุขุมวิท26

ทำดีแล้ว…อย่าหวั่นไหว หนังสือชีวประวัติของคุณอมเรศ ศิลาอ่อน ซึ่งแต่เดิมท่านมีจุดประสงค์เพื่อบันทึกไว้ให้บุคคลในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้อ่านเท่านั้น แต่ท่านเปลี่ยนใจอยากให้คนในสังคมได้รับรู้บ้าง อย่างน้อยก็เป็นการบันทึกถึงประวัติศาสตร์บ้านเมืองไทยในแง่มุมบางอย่างไว้ โดยเป็นการบอกเล่าในสไตล์ของ “คุณปู่” ที่เล่าเรื่องเก่าๆ ให้หลานๆฟังด้วยความเอ็นดู จริงใจ และตรงไปตรงมา

คุณอมเรศ ศิลาอ่อน กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “ปู่เขียนบันทึกนี้ขึ้นเพื่อที่จะถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาไว้ให้หลานได้อ่าน ให้หลานได้ใช้เป็นข้อคิดในการใช้ชีวิตต่อไป ปู่พูดได้เลยว่า ชีวิตของปู่เต็มไปด้วยความบังเอิญ ทุกอย่างในชีวิตของปู่ออกจะดูราบรื่นไปหมด เพราะปู่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง มีพ่อแม่ที่เป็นคนดี มีความสามารถ ถึงแม้ในสมัยเด็กๆปู่ค่อนข้างลำบาก ด้วยความเคราะห์ร้ายที่คุณแม่เสียตั้งแต่ปู่ยังเล็กก็ขาดความอบอุ่นไปบ้าง ต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างจังหวัดบ้าง ไปเรียนหนังสือในที่ที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่”

“หลังจากที่ปู่เติบโตขึ้นมานับว่าชีวิตสุขสบาย ไม่ค่อยมีอุปสรรคอะไรร้ายแรง เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน การแต่งงาน การได้เป็นรัฐมนตรีถึง 4 สมัย หรือการได้ลูกที่ดีทั้งสามคนนับเป็นเรื่องบังเอิญที่ดี สิ่งดีและไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิตปู่ไม่ได้วางแผนไม่ได้ทำอะไร ถึงจังหวะก็เกิดขึ้นมาเอง และสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของปู่คือ การได้เรียนธรรมะขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อหลานๆได้อ่านบันทึกฉบับนี้จบแล้ว ปู่หวังว่าเรื่องราวของปู่จะเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตแก่หลานๆต่อไปในภายภาคหน้า”

ในช่วงชีวิตการทำงานของคุณอมเรศตั้งแต่บริษัทเชลล์ ปูนซิเมนต์ไทย สยามคร้าฟท์ จนกระทั่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทำให้ท่านได้ค้นพบว่า เราควรเลือกงานที่ถนัด ต้องเรียนรู้งานที่เกี่ยวข้องถ้าโชคดีมีนายที่เก่ง แล้วเราต้องทำงานที่หนักกว่า แต่จะทำให้เราเรียนรู้และก้าวหน้าได้เร็วกว่า ต้องสู้งาน มีปัญหาก็ต้องแก้ ไม่ท้อถอยเมื่อพบอุปสรรค และเมื่อก้าวหน้าถึงระดับหนึ่งแล้วต้องรู้จักสร้างทีม ไม่มีใครทำงานใหญ่สำเร็จด้วยตนเองเพียงลำพัง นอกจากนี้หลักการทำงานที่สำคัญคือ รู้จักหน้าที่และขอบเขตความรับผิดชอบของตน เว้นการทำชั่ว และต้องรู้จักสร้างตน สร้างคน สร้างทีม สร้างสถาบัน และสุดท้าย “เรื่องที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาคือ เรื่องของกรรม ถ้าเชื่อกรรม ชีวิตจะดีหมด เพราะคนจะทำบาปน้อยลงจะช่วยสังคมได้มาก”

ฟุ้ง ลักษณโกเศศ ผู้เคยร่วมงานที่บริษัทค้าวัสดุก่อสร้าง “ผมรู้จักคุณอมเรศตั้งแต่สมัยบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ผมเป็นลูกน้องได้ร่วมงานกับคุณอมเรศเกือบ 20 ปี คุณอมเรศตอนหนุ่มๆใจร้อนมาก แต่ท่านเป็นคนเปิดเผย รักลูกน้อง เป็นเจ้านายที่น่ารักมาก ไม่ถือตัว บอกตรงๆผมยังไม่เชื่อว่าท่านไปศึกษาธรรมะ…ผมมีเจ้านายหลายคน แต่ไม่ประทับใจเท่าคุณอมเรศ ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีแก่อนุชนคนรุ่นหลัง”

อวิรุทธ์ วงศ์พุทธพิทักษ์ ผู้เคยร่วมงานที่บริษัทสยามคร้าฟท์ “ผมมีโอกาสร่วมงานกับท่านครั้งแรกในปี พ.ศ.2520 ท่านเป็นนักอ่าน นักคิด จึงทำให้มีแนวคิดในการมองประเด็นต่างๆอย่างกว้างขวางและกว้างไกล ทำให้คนที่ทำงานอยู่ค่อนข้างยากลำบากในการ ‘ตามให้ทัน’ ซึ่งผมจะไม่พยายามเลียนแบบการทำงานของท่าน แต่จะเรียนรู้แล้วนำมาคิดปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเรา…ผมโชคดีมากที่ได้เรียนรู้หลายสิ่งจากท่าน และยังสามารถใช้ประโยชน์ได้จนทุกวันนี้”

ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ผู้เคยร่วมงานที่บริษัทสยามคร้าฟท์และองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน “จากการที่ได้ทำงานร่วมกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 ท่านเป็นคนมีความรอบคอบ สุขุม มีความสามารถ ตั้งใจ มีความซื่อสัตย์สุจริต และตรงไปตรงมา”

สำหรับการเริ่มศึกษาธรรมะและฝึกกรรมฐานคุณอมเรศกล่าวว่า “ตอนนั้นปู่เป็นผู้จัดการใหญ่ที่บริษัทสยามคร้าฟท์แล้ว แต่ก็ยังใจร้อน ลูกน้องยังกลัวอยู่ พอได้เริ่มปฏิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ กรินชัย โดยการนั่งกรรมฐาน “แบบยุบหนอพองหนอ” ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่การกำหนดอิริยาบถ จากการถือศีล เข้ากรรมฐานอยู่สม่ำเสมอสิ่งที่ได้คือ ใจเย็นลง สติว่องไวขึ้น เวลาทำอะไรจะคิดก่อน ส่งผลให้ชีวิตปู่มีความมั่นคงขึ้น นิ่งขึ้น จิตใจไม่ค่อยหวั่นไหวง่ายนัก ชีวิตปลอดโปร่งดี รวมถึงทำให้เป็นคนที่มีศีลมีสัตย์อยู่ตลอดเวลา ช่วยในการทำงาน รวมถึงในการดำรงชีวิตทั่วไปด้วย”

นอกจากนี้ คุณอมเรศยังได้กล่าวทิ้งท้ายถึงชีวิตของท่านในวันนี้ไว้ว่า “ตลอดชีวิตปู่อาจจะเคยทำอะไรไม่ดีมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำอะไรที่เลวร้ายผิดทำนองคลองธรรมอย่างรุนแรง ไม่เคยมีความจำเป็นที่จะต้องทำบาปเพื่อให้ได้อะไรมา อยากได้อะไรก็ได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเสมอ ถ้าชีวิตเรามีบุญพอให้อยู่อย่างสบาย เราตั้งใจทำสิ่งที่ดี ละเว้นการทำบาป ชีวิตในภายภาคหน้าไม่ว่าจะอีกกี่ชาติก็ตามถ้าเราทำอย่างนี้ตลอดไปก็น่าจะไปได้ดี ที่สำคัญ ชีวิตนี้ได้พบพุทธศาสนา ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม ซึ่งน่าจะเป็นฐานให้ชีวิตภายภาคหน้าดีขึ้น”

“ถ้าเราได้เกิดมามีโชคที่ได้ครอบครัวที่ดี พ่อแม่ดี เพื่อนที่ดี เราก็ต้องระลึกอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรจะทำความดี เว้นความชั่ว ไม่ทำบาป คนเราง่ายที่จะทำบาป มีสิ่งเย้ายวนให้ทำผิดอยู่เสมอ แต่เราต้องข่มใจไว้ อะไรที่เป็นของไม่ดีไม่ทำ ไม่ต้องไปขโมย ไปคดโกงเขา ถ้าเผื่อเรามีความสามารถ มีบุญติดตัวก็จะมีชีวิตที่สบาย ถ้าเราได้ทำอย่างนั้นตลอดชีวิต จะทำให้ทั้งชีวิตเป็นชีวิตที่มีความสุขมากกว่ามีทุกข์ สำหรับชีวิตของปู่ ปู่ถือว่าในชีวิตได้ทำหน้าที่จนเกือบสมบูรณ์แล้ว”

พบกับชีวประวัติและแนวคิดในการดำเนินชีวิตของคุณอมเรศ ศิลาอ่อน ได้จากหนังสือ “ทำดีแล้ว…อย่าหวั่นไหว” จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นิตยสารแพรว ได้แล้ววันนี้ที่ร้านนายอินทร์และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

You may also like...