แบรนด์ดังใน CONTEMP SALON

JOSEPH แบรนด์ดังและมีอิทธิพลมากที่สุดอีกแบรนด์หนึ่งในแวดวงแฟชั่นของเกาะอังกฤษ JOSEPH ยืนอยู่เคียงข้างแฟชั่นนิสต้า ชาวอังกฤษมากว่า 30 ปี โดดเด่นที่เสื้อผ้าเบสิคเรียบหรู แต่แฝงไว้ด้วยลูกเล่นที่น่าสนใจ ผสมผสานวัสดุคุณภาพสูง เน้นให้สวมใส่ได้จริง

แบรนด์ดังสัญชาติอังกฤษแบรนด์นี้กวาดรางวัลด้านแฟชั่นมากมาย อาทิ ‘Knitwear designer of the year’ และ ‘British Classics’ และยังได้รับรางวัล British Fashion Award สำหรับ ‘Contemporary Collections’ และล่าสุดได้รับการ Vote จากการสำรวจของสาวอังกฤษโดยนิตยสาร  Vogue UK เดือนธันวาคมให้เป็น 1 ใน 2 แบรนด์ดีไซเนอร์โปรดของอังกฤษเทียบเท่า Chanel

ปัจจุบัน JOSEPH อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทแม่จากญี่ปุ่น ‘ONWARD KASHIMAYA’ โดยมี Creative Director ‘Louise Trotter’ ที่คอยสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบในทุกๆคอลเล็คชั่น

คอลเล็คชั่นล่าสุดนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากงานของ Carlyne Cerf de Dudzeele ซึ่งเป็น Stylist ที่มีชื่อเสียงแห่งยุค 80’s 90’s เธอมักให้ความสำคัญกับการผสมผสานลุคแห่งความเท่ห์แบบชายหนุ่มตัดกับลุคอันอ่อนหวานของหญิงสาว วัสดุแข็งตัดกับความนุ่มนวล ความหรูหราตัดกับสตรีทลุค ซึ่งก่อให้เกิดความไม่คาดคิดและผลงานใหม่ๆ โดยคอลเลคชั่นล่าสุดนี้ แบ่งเป็น 3 ลุค คือ นาวีและทหาร ลายพรางและกูตูร์  Preppy (ลุคคุณหนูโรงเรียนไฮสคูล) และสตรีท

TIBI
เอมี่ สมิโลวิค (Amy Smilovic) ก่อตั้งแบรนด์ Tibi ขึ้นในปี 1997 และจนถึงปัจจุบัน ปรัชญาในการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับคอนเซ็ปต์ ‘Casual Elegance’ (ความสง่างามในแบบสบายๆ) เบรคด้วยความเท่ห์และทันสมัยที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์เป็นที่รู้จักในเรื่องของคัทติ้งและพริ้นท์ที่อ่อนหวาน Tibi ยังถือเป็นไลน์เสื้อผ้าร่วมสมัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดไลน์หนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยมี Flagship Store ที่นิวยอร์กและจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วโลก ตั้งแต่ Bergdorf Goodman, Saks Fifth Avenue, Neiman Marcus, Bloomingdales, Net-a-Porter, Shopbop, Harvey Nichols, Harrods และ Selfridges

สำหรับฤดูกาลที่ผ่านมาของ Amy Smilovic คอลเล็คชั่นล่าสุดของเธอได้รับการผลักดันและแรงบันดาลใจในการออกแบบให้สวมใส่แบบแยกชิ้น โดยใช้เนื้อผ้ามีความทนทานจากการนำผ้ายีนส์ดิบผสมกับผ้าเนื้อบางเป็นครั้งแรก รวมถึงเสื้อกั๊กสีคราม และแจ็คเก็ตแขนสั้น สวมใส่คู่กับกับกางเกงที่มีรายละเอียด และรัดรูปทั้งแต่เอวลงมาถึงสะโพก เป็นจุดเด่นประจำคอลเล็กชั่นล่าสุดของเธอ

VANESSA BRUNO
เจ้าของฉายา ‘The queen of effortless Parisian style’  จากนิตยสารแฟชั่นชื่อก้องโลกอย่าง Vogue Italia ทั้งนี้ก็เพราะ Vanessa Bruno คือตัวแทนของสไตล์ความเก๋ไก๋ และความเรียบง่าย อันถือเป็นจิตวิญญาณของหญิงสาวปารีเซียงทุกคน คอลเล็คชั่นจากวาเนสซ่า บรูโน (Vanessa Bruno) ดีไซเนอร์ในชื่อเดียวกับผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ๆ นี้ นำเสนอเสื้อผ้าเฟมินีน สวมใส่ได้ง่าย สดใหม่ หากแฝงไว้ด้วยความหรูหราที่ไม่ฉูดฉาด เป็นที่ชื่นชมจากผลงานสำคัญในการผสมผสานเนื้อวัสดุหลากหลายรูปแบบเข้าไว้ด้วยกันจนเกิดเป็นลุคพิเศษที่แตกต่าง

คอลเล็คชั่นประจำฤดูกาลนี้  โดดเด่นที่กางเกงและแจ็คเก็ท เนื้อบาง ซีทรู  ผ้าพริ้ว  ผสมผสานการออกแบบที่มีกลิ่นอายของบรรยากาศชายฝั่งทะเลโบฮีเมีย ประเทศฝรั่งเศส ได้อย่างลงตัว

RICHARD NICOLL
ประสบการณ์ในการทำงานของริชาร์ด นิโคลล์ (Richard Nicoll) นอกเหนือจากการทำแบรนด์ของตัวเองในชื่อเดียวกันแล้ว เขายังเคยรับตำแหน่งครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ให้กับคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าสตรีสำหรับ Cerruti Paris, เป็นฟรีแลนซ์ดีไซเนอร์ให้กับ Marc Jacobs ที่ Louis Vuitton, ดีไซน์คอลเล็คชั่นขนาดเล็กให้กับ Topshop และออกแบบไลน์ Lauren อันเป็นไลน์ระดับท็อปของ Fred Perry นอกจากนี้ แบรนด์ Richard Nicoll ยังคงสานต่อการร่วมมือกับศิลปินอย่างลินเดอร์ สเตอร์ลิง (Linder Sterling) ตั้งแต่คอลเล็คชั่นฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 09 ในเรื่องของการออกแบบลายพิมพ์ประจำซีซั่น รางวัลอื่นๆ ที่เขาเคยได้รับ ได้แก่ รางวัล ANDAM ในปี 2007 และ Elle Style Award

ดึงความน่าสนใจของผ้าคอตตอนป๊อปลิน และผ้าปีเก้ สำหรับหน้าร้อนโดยเฉดสีหวานเย็นมาแต่งเติมเพิ่มความตื่นเต้นโดยลุคแบบสปอร์ตซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก menswear อย่าง shirtdress (หรือ เสื้อเชิ้ตตัวยาว) ถือเป็นลุคที่ Nicoll ภูมิใจนำเสนอ  สีประจำคอลเล็คชั่นนี้ คือ ขาว, ฟ้า, ส้ม

PAUL & JOE
แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสที่เป็นที่นิยมในหมู่สาวกแฟชั่นจากปารีเซียงและสาวๆ ทั่วโลก ด้วยเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยสีสันอันสดใส โดดเด่นที่ลายพิมพ์อันแสนเก๋ไก๋สะดุดตา จนได้ลุคที่เหมาะสำหรับสาวๆ ผู้สดใส ร่าเริง แอคทีฟ แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความเป็นขบถเล็กๆ และรักในอิสระ เสื้อผ้าจาก Paul & Joe เปิดโอกาสให้คุณนำมามิกซ์แอนด์แมทช์ได้อย่างง่ายดาย หรือจะตกแต่งเพิ่มเติมด้วยเครื่องประดับเพื่อลุคที่หลากหลายแล้วแต่อารมณ์ของคุณในแต่ละวัน

เป็นการผสมผสานของคอลเล็คชั่นฤดูใบไม้ผลิของเธอ  เช่นเดียวกับ Isabel Marant ที่มีจุดเด่นที่ดูปราดเปรียว, สะท้อนบุคคลิกที่ผู้หญิงทำงานและผสมผสานลุคของคนเมือง และความเป็นชาวฮาวายได้อย่างลงตัว มีความมันเซ็กซี่ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ เน้นการตัดเย็บที่สะท้อนภาพของฤดูใบไม้ร่วงของเธอได้อย่างชัดเจน ด้วยการจับกลีบพรีทเล็กน้อย ผสมผสานลวดลายทางบนผ้ายีนส์ หรือแจ็คเก็ตสีขาวยาวเล็กน้อยกับกางเกงลายทาง  ปักลายดอกไม้ fluoro พร้อมกับเสื้อโอเวอร์ไซส์

EMMA COOK
เอ็มม่า คุก (Emma Cook) ดีไซเนอร์ชาวอังกฤษ เข้าศึกษาต่อที่เซ็นทรัล เซนต์ มาร์ตินส์ แฟชั่น คอลเลจ ในกรุงลอนดอน ในปี 1993 และนับเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับอเล็กซานเดอร์ แม็คควีน (Alexander McQueen) และสเตลล่า แมคคาร์ธนีย์ (Stella McCartney)  เธอเริ่มต้นอาชีพของเธอในฐานะที่ปรึกษาให้กับแบรนด์ต่างๆ อย่าง Ghost, Martine Sitbon และ Liberty โดยมีหญิงสาวระดับแนวหน้ามากมายที่ฝากตัวเป็นแฟนผลงานผลงานเสื้อผ้าที่โดดเด่นด้วยการประดับตกแต่ง และลวดลายที่วาดด้วยมือ  เธอเริ่มต้นบริษัทของตนเองในปี 2000 คอลเล็คชั่นแรกของเธอซึ่งผสมผสานการยึดสไตล์ลิ่งจากยุค 80s เข้ากับเสื้อผ้าประเภทผ้าเจอร์ซี (Jersey) จับเดรปแบบเรียบๆ และมีวางจำหน่ายที่ Kokon To Zai ในลอนดอน และ Beauty By ในปารีส  แม้ว่างานดีไซน์ของเธอจะสะท้อนให้เห็นถึงกลิ่นอายแบบคลาสสิค หากในขณะเดียวกันก็ผสานความเซ็กซี่และเอียงอายเอาไว้ งานดีไซน์ของเธอนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงฤดูกาลไหนเป็นพิเศษ แต่สามารถนำกลับมาใส่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

เธอจบการศึกษาจากสถาบัน เซ็นทรัล เซนต์ มาร์ติน โดยเคยร่วมงานกับ Donna karan และ Martine Sitbon ก่อนที่จะผลิตผลงานของเธอเอง Emma Cook มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่อง digital Prints (ลายปริ้นท์แบบดิจิตอล) โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติและผลงานเหมือนจริงเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับคอลเล็คชั่นของเธอ สีหลักในคอลเล็คชั่นนี้ คือ สีดำ มิ้นท์ และ ส้ม

MM6
แบรนด์แฟชั่น Maison Martin Margiela เกิดขึ้นในปี 1988 และเป็นที่ชื่นชอบของสาวกแฟชั่นเพราะดีไซน์มีความแตกต่าง ฉีกแนวไปจากแฟชั่นกระแสหลัก เป็นเหมือนศิลปินแนวแอ็บสแตร็คท์ จุดเด่นของแบรนด์นี้ก็คือการนำวัสดุมาใช้ให้มีความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร โดย Margiela ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้ จบการศึกษาจาก Royal Academy of Fine Arts ในเมือง Antwerp และเคยทำงานเป็นผู้ช่วยของ       Jean-Paul Gaultier มาก่อน  แบรนด์ MM6 เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์น้องสาวของ Maison Martin Margiela ให้ความรู้สึกสไตล์สาวเท่ห์ชาวนิวยอร์ก โดยคงความโดดเด่นด้านวัสดุเหมือนแบรนด์ต้นแบบ

แบรนด์ MM6 เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์น้องสาวของ Maison Martin Margiela ให้ความรู้สึกสไตล์สาวเท่ห์ชาวนิวยอร์ก โดยคงความโดดเด่นด้านวัสดุเหมือนแบรนด์ต้นแบบ สีหลักๆ ของคอลเลคชั่นนี้ก็คือครีม น้ำเงิน ขาว ดำ เทา มีทั้งสไตล์สาวหวานแฝงไปด้วยความโมเดิร์นด้วยลายปริ๊นท์ต่างๆ เนื้อผ้าเบาแต่มีวอลุ่ม สวมใส่ได้ในวันสบายๆ แต่มีกลิ่นอายของความนอกกรอบเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน นอกจากนี้ก็ยังมีลุคเท่ห์สไตล์ทหาร เช่นเสื้อคลุมสีกากี กางเกงผ้ายืดหลวมๆ รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ ปริ๊นท์ลายทหารจางๆ แต่ชุดที่โดดเด่นที่สุดก็คือชุดผ้ายืด 3 ชิ้น ซึ่งดูแล้วคล้ายๆ กับชุดสูทใส่ทำงาน มีกางเกง เสื้อสูท และเบลเซอร์ แต่แฝงความสบายๆ ด้วยเนื้อผ้ายืด ถูกใจสาวนิวยอร์คเกอร์อย่างแท้จริง

HOUSE OF HOLLAND
หลังจากจบการศึกษาจากลอนดอน คอลเลจ ออฟ พริ้นติ้ง พร้อมกับปริญญาทางด้านนิเทศศาสตร์ เฮนรี่ ฮอลแลนด์ (Henry Holland) ก็กระโจนเข้าสู่วงการแฟชั่นในปี 2006 กับผลงานเสื้อยืด ‘Fashion Groupies’ ยอดฮิต ประดับสโลแกนเก๋ๆ อย่าง “UHU Gareth Pugh” และ “Get Your Freak On Giles Deacon”

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2008 House of Holland จัดแสดงโชว์ของตนเองในงานแฟชั่นวีค ซึ่งได้รับการตอบรับด้วยดี การันตีด้วยรางวัล ‘Best Use of Tartan Award’ ที่งาน Scottish Fashion Awards

สะดุดตา เต็มไปด้วยสีสัน และขี้เล่น ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของงานดีไซน์ของเขา เฮนรี่ออกแบบโดยมีสาวลอนดอนอยู่ในใจ และได้แรงบันดาลใจจากทัศนคติ วัฒนธรรม และแนวคิดอันหลากหลายที่ ปรากฎและรวมอยู่ในเมืองหลวงของสหราชอาณาจักร หญิงสาวในแบบฉบับของ House of Holland คือสาวเท่ห์ มั่นใจ และเฉลียวฉลาด เธอสวมใส่เสื้อผ้าจากแบรนด์ House of Holland แต่ไม่ปล่อยให้เสื้อผ้าดูโดดเด่นกว่าตัวเอง

คอลเล็คชั่นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุคช่วงต้น 90’S โดย Hennry จับเอาลายตารางหมากรุกมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อให้ได้อารมณ์แบบ Grunge Look (กรันซ์) โดยใช้สีเหลืองและสีดำเป็นสีหลักของคอลลเล็คชั่นแบบ Grunge แต่งแต้มความเป็นสาวทันสมัยด้วยระบายและพริ้นท์ลายดอกไม้สีม่วง กางเกงขาสั้น เสื้อดันทรงเพื่อเพิ่มพลังให้กับคอลเล็คชั่น SS13 นี้  สีหลักประจำคอลเล็คชั่นนี้ คือ สีดำ ม่วงและเหลือง

MARKUS LUPFER
ดีไซเนอร์ของวงการแฟชั่นเกาะอังกฤษ มาร์คัส ลุปเฟอร์ (Markus Lupfer) นำเสื้อผ้าเบสิคที่ใช้ในชีวิตประจำวันมาปรับเปลี่ยนให้ดูน่าสนใจ ไฮไลต์ของผลงานของเขาอยู่ที่เสื้อผ้านิตแวร์สุดคลาสสิคที่มาพร้อมกับความสดใหม่ ไม่เหมือนใคร จนก่อให้เกิดเป็นคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าอันสวยแปลกตา เช่น เสื้อนิตแวร์ลายรูปปากที่กลายเป็นสัญลักษณ์เด่นของแบรนด์ พรสวรรค์ของมาร์คัสทำให้เขาได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังอื่นๆ มากมาย อาทิ Mulberry, Cacharel และ Armand Basi One รวมถึงแบรนด์ไฮสตรีทชื่อดังอย่าง Topshop

คอลเล็คชั่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก The Jetsons ทำให้คอลเล็คชั่นนี้ดูมีสีสันที่มีชีวิตชีวาในสไตล์  pop culture กระโปรงบานและมีเลเยอร์  สีหลัก คือ แดง เมทาลิค ดำ ม่วง

SASS & BIDE
Sass & Bide มาจากชื่อของดีไซเนอร์ของแบรนด์ นั่นคือซาร่าห์-เจน คลาร์ก หรือแซส (Sarah-Jane Clarke หรือ Sass) และไฮดี้ มิดเดิลตัน หรือไบด์ (Heidi Middleton หรือ Bide) คู่หูคู่นี้แหวกทุกกฎเกณฑ์ และท าคอลเล็คชั่นตามความชอบของตัวเองจนกระทั่งประสบความส าเร็จดังเช่นในปัจจุบัน จากอาชีพนักบัญชี และอาร์ตไดเร็คเตอร์ของบริษัทโฆษณา พวกเขาจึงถือเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างแปลกไปจากคนในแวดวงแฟชั่น เพราะไม่เคยมีพื้นฐานด้านแฟชั่นมาก่อนแต่อย่างใด

จิตวิญญาณที่เป็นอิสระ เต็มไปด้วยความมั่นใจ และความขัดแย้ง ถือเป็นสไตล์ส่วนตัวที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคอลเล็คชั่นเดนิมคอลเล็คชั่นแรก และกางเกงยีนส์ ‘east village’ ที่ประสบความ สำเร็จอย่างมากในปี 1999  ภายในเวลาสองปี คอลเล็คชั่นของพวกเขาขยายและเติบโตเป็นคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าสำเร็จรูปประจำฤดูกาล และพัฒนาขึ้นจากแบรนด์อินดี้ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในออสเตรเลีย มาสู่รันเวย์ในงานแฟชั่นวีคในกรุงลอนดอน และนิวยอร์ก จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ เสื้อผ้าจาก Sass & Bide มีวางจำหน่ายใน 20 ประเทศ ในบูติคระดับพรีเมียม

คอลเล็คชั่นนี้นำเสนอแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปยังบัวโนสไอเรสและเปรูที่ได้พลังและความรู้สึกของสถานที่เหล่านั้น จากเดิมที่ผลงานของทั้งคู่จะออกมาในรูปแบบ “the traditional modernist” จนกระทั่ง เมื่อทั้งคู่ได้เดินทางไปที่ เฮดิ มิดเดิลตัน ทำให้เกิดคอลเล็คชั่นล่าสุด ได้เป็นผลงานที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอ  โดยเน้นการใช้ให้ความสำคัญและลูกเล่นที่มีความเป็นผู้หญิงและผู้ชายมาผสมผสานมากขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้ทักซิโด  นำสีขาว ดำและทองมาใช้ในคอลเล็คชั่นนี้

Manish Arora ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 1997 โดยเริ่มขายจากประเทศอินเดียเป็นประเทศแรก และได้เริ่มขยายแบรนด์สู่ฮ่องกงในปี 2000 โดยเข้าร่วมงาน Hong Kong Fashion Week ในฐานะตัวแทนประเทศอินเดีย หลังจากนั้นได้เข้าร่วมงาน India Fashion Week ครั้งแรกที่กรุงนิวเดลี ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจนได้เข้าไปวางสินค้าจำหน่ายที่ Maria Luisa ในกรุงปารีส ต่อมาเสื้อผ้าของเขาได้ไปโชว์ที่ London Fashion Week ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก

Manish Arora เป็นแบรนด์ที่มีความแตกต่าง สะดุดตาด้วยสีสันจัดจ้านสดใส โดย Manish Arora ได้แรงบันดาลใจในการดีไซน์มาจากการเดินทางไปยังที่ต่างๆ และความคิดสร้างสรรค์ในด้านการใช้สี เป็นการสื่อวัฒนธรรมอินเดียในมุมที่ทันสมัย ออกมาเป็นชิ้นงานที่โดดเด่น แหวกแนว สะดุดตา และมีความหมายลึกซึ้ง สวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย

มีความโดดเด่นในการออกแบบลวดลายบนเสื้อผ้าสะดุดตาด้วยสีสันจัดจ้านสดใส โดย Manish Arora ได้แรงบันดาลใจในการดีไซน์มาจากการเดินทางไปยังที่ต่างๆ และความคิดสร้างสรรค์ในด้านการใช้สี การปักเลื่อม เป็นการสื่อวัฒนธรรมอินเดียในมุมที่ทันสมัย ออกมาเป็นชิ้นงานที่โดดเด่น แหวกแนว สะดุดตา และมีความหมายลึกซึ้ง คอลเล็คชั่นนี้  Manish Arora ได้ร่วมงานกับ Amrapali แบรนด์เครื่องประดับชื่อดัง ผลิตคอลเล็คชั่นเครื่องประดับขึ้นมาเป็นงานพิเศษ โดยผลงานผสมผสานทั้งอารยธรรมอันเก่าแก่ของอินเดียและความร่วมสมัย ออกมาเป็นผลงานที่สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ยังคงความโดดเด่นเป็นสไตล์ Manish Arora อยู่เหมือนเดิม   สีหลักๆ ของคอลเล็คชั่นนี้คือ สีทอง ดำ ฟ้า ชมพูอมส้ม

 

 

You may also like...