ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ

“ผู้ขับกล่อมบทกวีแห่งลุ่มแม่น้ำยม” จากความประทับใจในบทอาขยานเมื่อครั้งยังเยาว์ เติบโต ขยับขยายจนกลายเป็นความรักในตัวหนังสือและท่วงทำนองคล้องจอง ที่ซึมซับผ่านหน้ากระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า และได้ถ่ายทอดความรักนั้นเป็น ‘บทกวี’ รสสัมผัสเฉพาะตน ที่เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไป ประสบการณ์หลายหลากช่วยขับเคี่ยวให้ทั้งตัวตนและผลงานของเขาเป็นที่ประจักษ์แจ่มชัดแก่เหล่านักอ่าน

เจ้าของรางวัล ‘กวีซีไรต์’ พ.ศ. 2535 จากหนังสือ ‘มือนั้นสีขาว’ บทกวีที่กล่อมเกลาทุกหัวใจที่เคยผ่องใสบริสุทธิ์…..   “ศักด์ศิริ มีสมสืบ”

อะไรที่ทำให้คุณเริ่มต้นเป็นนักเขียน และยังคงเป็นอยู่
จากความซาบซึ้งในบทอาขยาน ที่ครูให้ท่องตั้งแต่ชั้นประถม ศึกษา  จำได้ว่าชั้น ป.3 – ป.4 ทำให้รักการอ่าน จึงอ่าน อ่าน อ่าน ยิ่งอ่านยิ่งตกหลุมรักถอนตัวไม่ขึ้น รู้ตัวอีกทีก็มีบทกวีที่ตัวเองเขียนขึ้นมากมาย ตั้งแต่ชั้นมัธยม เขียนจริง เขียนเล่น เขียนทิ้งเขียนขว้าง ทิ้งร่องรอยไว้ในวัยเยาว์ ยังคงเขียนต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ ด้วยความรักโดยแท้ และผู้ที่ปลูกฝังหน่อเนื้อความรักไว้ก็คือ เด็กชายหญิงสองพี่น้องในอาขยาน “เจ้านกน้อยน่ารักร้องทักว่าไปไหนมาหนูเล็กเด็กชายหญิง ทั้งรูปร่างหน้าตาน่ารักจริง ข้ายิ่งดูก็ยิ่งจำเริญตา…”
ที่ยังคงเขียนอยู่ ก็เพราะความรักยังคงอยู่ ไม่เคยลดน้อยถอยลง และไม่เคยเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นอีกไม่ได้เพราะมันเต็มเปี่ยมแล้ว มันไม่ใช่แค่งาน มันเป็นชีวิต ฟังดูเท่ดีนะ

นักเขียนต้นแบบ หรือนักเขียนคนโปรด
เมื่อโลกการอ่านกว้างขึ้น มีหนังสือหลายเล่มที่ประทับใจ มีบางประโยคติดตรึงอยู่ในตัวเรา อรรถรสได้ส่งความหมายลึกซึ้ง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ดูดซึม ดื่มซับมาเป็นเลือด เป็นเนื้อ หากจะขอบคุณคงต้องเอ่ยหลายนามนักเขียน หลายชื่อหนังสือ เราเป็นเด็กดื้อ เราเดินตามหัวใจของเรา อ่านโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน อ่านวรรณคดีไทยมามาก แต่ผลงานเล่มแรก ตุ๊กตารอยทราย (2526) ก็เป็นงานร้อยกรองไร้ฉันทลักษณ์เลยทีเดียว นี่ก็ฟังดูเท่นะ

ทัศนะต่อวงการนักเขียนไทยปัจจุบัน
ไม่รู้จะตอบมุมไหน
วงการก็มีหลายวง วงเล็ก วงใหญ่ วงเหล้า วงสนทนา วงสัมมนา วงโคจร วงคุยเล่น วงคุยเป็นการเป็นงาน มีการร่วมวง มีการแยกวง สลายวง มีในวง มีนอกวง มีวงเล็กในวงใหญ่ มีวงที่ซ้อนวง มีวงกลม วงรี มีทั้งวงไพบูลย์ และวงไม่ไพบูลย์ มีวงอิสระ วงเฉพาะกิจ วงเฉพาะการณ์ วงเฉพาะ ดุดมการณ์ วงตัวเอง วงคนอื่น ส่วนตัวผมเองก็อยู่ในวงของตัวเอง แว่บไปวงโน่นบ้าง วงนี้บ้างตามโอกาส ตามวาระ ตามเวร ตามกรรม อยู่กลางวง อยู่ขอบวง อยู่นอกวง แล้วแต่กรณีบางทีแล้วแต่อารมณ์

ทัศนะต่อการอ่านของคนไทยในปัจจุบัน
มนุษย์ยังต้องอ่าน อ่านไปจนกว่าจะพ้นทุกข์  หนังสือคือผลผลิตของการอ่านผ่านทางการเขียน มีอีกมากมายที่มนุษย์ยังไม่ได้อ่าน และยังไม่ได้เขียน  เท่าที่เป็นอยู่ เราส่งเสริมแต่เพียงการอ่านหนังสือ ความจริงคือ การอ่านหนังสือเป็นเพียงการอ่านอย่างหนึ่งของมนุษย์ ควรต้องส่งเสริมการอ่านให้ถึงความหมายที่แท้จริงของการอ่าน เช่น ควรต้องส่งเสริม “การเขียน” ควบคู่ไปด้วยอย่างจริงจังและเข้มข้น เพราะการเขียนก็คือ “การอ่าน” เช่นกัน

ชีวิตช่วงนี้
เขียนหนังสือ แต่งเพลง เขียนรูป อยู่บ้าน เลี้ยงลูก ปลูกผัก นอนเปล เป่าขลุ่ย เดินทางไปพูด ร้องเพลง บรรยาย เป็นวิทยากร ชมนกชมไม้ เดินตลาดนัด นัดพบเพื่อนเก่าครั้งเยาว์วัย ช่วงนี้หากมีใครชวนเดินทางไปให้ไกลแสนไกลก็อยากไปด้วย ลำบากแค่ไหนไม่หวั่น อายุมากแล้ว ได้ยินเสียงเรียกจากวัยเยาว์อยู่บ่อยๆ

“ที่ยังคงเขียนอยู่ ก็เพราะความรักยังคงอยู่ ไม่เคยลดน้อยถอยลง และไม่เคยเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นอีกไม่ได้เพราะมันเต็มเปี่ยมแล้ว มันไม่ใช่แค่งาน…มันเป็นชีวิต”

 

——————————————————————————–

Text & Photo : ณัชชา เฉลิมรัตน์

Hi-class ฉบับ 277 -ข้อเขียนนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของนิตยสาร  HI-CLASS  ห้ามนำไปลอกเลียน ทำซ้ำ หรือ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

 

 

You may also like...