โขนกลางแปลง

คือ การแสดงโขน บนพื้นดินกลางสนามหญ้า ไม่ต้องปลูกโรงให้เล่น ปัจจุบันหาดูได้ยาก กรมศิลปากร เคยจัดแสดง โขนกลางแปลง ณ พระราชอุทยาน รัชกาลที่ ๒ จังหวัดสมุทรสงคราม ในโอกาสพิเศษ วันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

การแสดงโขนกลางแปลงนี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาคงจะมีหลายครั้ง เพราะในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพิ่งจะเริ่มเกิดมีการแสดงโขน และโขนกลางแปลง ก็คงจะเป็น แบบแรกที่คิดขึ้น ก.ศ.ร. กุหลาบกล่าวไว้ว่า สมัยกรุงศรีอยุธยา มีการแสดงโขนกลางแปลง ๒ ครั้ง ครั้งแรกแสดงในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี ฉลองพระชนมายุครบ ๒๓ พรรษา ในปีวอก จุลศักราช ๘๓๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๒๙ เป็นพระราชพิธีสะเดาะพระเคราะห์ มีมหรสพจับตอน หิรันต์ยักษ์ม้วนแผ่นดิน การ

แสดงในครั้งนั้น จะแสดงในรูปแบบของละครหรือโขน ก็ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ถ้าเป็นการแสดงโขน ก็น่าจะเป็นโขนกลางแปลง อีกครั้งหนึ่ง ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดให้มี โขนกลางแปลง ทำขวัญ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ เนื่องจาก เจ้าพระยาวิชเยนทร์ ถูกหลวงสรศักดิ์ชกปาก ถึงกับฟันหัก ๒ ซี่ ครั้นถึง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาล พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. ๒๓๓๙ โปรดให้มีการแสดง โขนกลางแปลง ในงานฉลอง พระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมชนกาธิราช ดังกล่าวใน พระราชพงศาวดารว่า
“ในการมหรสพสมโภช พระบรมอัฐิครั้งนั้น มีโขนชักลอกโรงใหญ่ทั้งโขนวังหลวงและวังหน้า และประสม โรงเล่นกันกลางแปลง เล่นเมื่อศึกทศกัณฐ์ ยกทัพกลับสิบขุนสิบรถ โขนวังหลวง เป็นทัพ พระรามยกไป แต่ทาง พระบรมมหาราชวัง โขนวังหน้า เป็นทัพทศกัณฐ์ ยกออกจาก พระราชวังบวรฯ มาเล่นรบกัน ในท้องสนามหน้าพลับพลา ถึงมีปืนบ่าเหรี่ยมรางเกวียนลาก ออกมายิงกันดังสนั่นไป”

โขนกลางแปลง นิยมแสดงแต่การยกทัพ และรบกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะสนามกว้าง เหมาะที่จะ แสดงชุด ที่มีตัวมากๆ เช่นกองทัพยักษ์ และกองทัพวานร ออกมารบกัน ปี่พาทย์ ที่บรรเลง ประกอบ การแสดงโขน ชนิดนี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเพียงวง ที่เรียกว่า เครื่องห้า ประกอบด้วย ปี่กลาง ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองพัด และฉิ่ง กลองทัด ที่ใช้ตีประกอบ การแสดงโขน ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีเพียงลูกเดียว เพิ่งจะมา เพิ่มเป็น ๒ ลูก ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง วงปี่พาทย์ ที่บรรเลง ประกอบ การแสดงโขนกลางแปลง จะต้องมี ๒ วงเป็นอย่างน้อย ปลูกเป็นร้านยกขึ้นเป็นที่ตั้งวงปี่พาทย์อยู่ใกล้ทาง ฝ่ายยักษ์วงหนึ่ง ทางฝ่ายมนุษย์วงหนึ่ง การที่ต้องปลูกเป็นร้านยกขึ้นให้สูงกว่า พื้นดินนั้น เพื่อให้ผู้บรรเลง ปี่พาทย์ ได้แลเห็นตัวโขนในระยะไกล และเนื่องจากบริเวณที่ใช้แสดงกว้างใหญ่มาก การใช้ปี่พาทย์เพียง วงเดียว เสียงที่บรรเลง ก็คงจะได้ยิน ไม่ทั่วถึงกัน ทั้งบริเวณและ มีทางเป็นไปได้ว่า วงปี่พาทย์ ที่บรรเลง ประกอบการแสดง โขนกลางแปลง ในสมัยอดีต น่าจะต้องมี มากกว่า ๒ วง เมื่อตัวโขนแสดงไปใกล้วงใด วงนั้น ก็บรรเลง แต่ในปัจจุบันนี้ การแสดงโขนกลางแปลง ไม่จำเป็น ต้องมีวงปี่พาทย์ หลายวงอีกแล้ว เพราะสามารถใช้เครื่องขยายเสียง ให้ดังไปทั่วสนามได้ การดำเนินเรื่อง ใช้การพากย์เจรจา ไม่มีขับร้อง แต่ในสมัยปัจจุบัน กรมศิลปากรปรับปรุง การแสดง โขนกลางแปลงเสียใหม่ โดยนำเอาศิลปะการแสดง โขน แบบโขนโรงใน และโขนหน้าจอ คือมีการจับระบำรำฟ้อน และมีเพลงร้องเข้าประกอบด้วย มาแสดง กลางสนาม ตามแบบอย่างของการแสดงโขนกลางแปลง

 

You may also like...